ยิ่งเราสามารถเข้าถึงวิถีแห่งการภาวนาอย่างเป็นเนื้อเป็นตัวมากขึ้น เราก็จะพบว่าประสบการณ์ทางจิตวิญญาณนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาล ปราศจากขอบเขตหรือข้อจำกัดใดๆ หลายสิ่งที่เรา "คิดว่าเป็นไปไม่ได้", "คิดไม่ถึง", "ไม่มีทาง", "ฝันไปแน่นอน", "บ้าไปแล้ว" จะค่อยๆปรากฏให้เราได้สัมผัสมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยพื้นที่ภายในแห่งการยอมรับ การสัมผัสรับรู้โลกที่ละเอียดอ่อน ความรัก ความอ่อนโยน ความไว้วางใจ กับ หัวใจที่เปิดกว้างเรียนรู้ต่อความเป็นไปได้ในทุกขณะ นี่คือโลกอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ทุกประสบการณ์ในชีวิตเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย ทุกเรื่องราวได้เข้ามาเปิดตาปัญญาของเราให้ตื่นโพลง และทุกลมหายใจเข้าออกเป็นหนึ่งเดียวกับการฝึกฝนและการเปิดใจ สู่การผ่อนคลายอยู่ในโลกแห่งความไม่รู้อันรุ่มรวย
เส้นแบ่งระหว่างการภาวนาและไม่ภาวนาจะบางลงไปเรื่อยๆตามความก้าวหน้าของการปฏิบัติ เรามีความคงมั่น ดำรงอยู่กับทุกภาวะในใจเรา เลิกบ่น เลิกตำหนิ เลิกต่อว่า เพราะเราตระหนักดีว่าโลกภายนอกเป็นดั่งภาพสะท้อนของใจ ให้สภาวะภายในได้ปรากฏขึ้น ตั้งอยู่ และคลี่คลายไปในมณฑลแห่งการตื่นรู้ เราไม่ต้องการที่จะปั่นวงล้อของความขลาดเขลา และขมวดปมในใจให้ซับซ้อนต่อไปด้วยความคิด การโต้ตอบ และการตัดสินถูกผิดอย่างไม่รู้จบ นั่นแสดงถึงธรรมชาติของการเดินทางด้านในที่มุ่งไปสู่พื้นที่แห่งการคลี่คลายอยู่เสมอ
ยิ่งเราคลายจากข้อจำกัดทางความคิดที่มีต่อตนเอง ผู้อื่น และโลกที่เรามองเห็น ได้มากเท่าไร เราก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงศักยภาพภายในตนเอง ผู้อื่น และโลกแห่งการถักทออันวิจิตรตระการได้มากเท่านั้น ในแต่ละย่างก้าวแห่งการเติบโต เราจำเป็นที่จะต้องมอบถวาย ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณเหล่านั้นแด่สายธรรมแห่งการตื่นรู้ แด่ครูผู้สืบทอดสายธรรมแห่งคำสอนอันบริสุทธิ์นั้น แด่สรรพสัตว์และเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เราไม่เก็บอะไรไว้กับตัวทั้งสิ้น ไม่แม้แต่เศษธุลีเดียว พื้นที่ของใจที่เปิดกว้าง สิทธาบารมี คุณงามความดีทั้งหลาย เราแผ่ขยายออกไปเติมเต็มทั่วจักรวาล นั่นคือหนทางเดียวที่การฝึกฝนบนหนทางแห่งการสละละวาง หนทางแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งจะสามารถคลี่ต่อไปได้
ด้วยการดำรงอยู่ในเนื้อในตัวจะทำให้ผู้ฝึกแต่ละคนค้นพบศักยภาพในตน อันเป็นเหมือนพรอันศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้รับมอบจากสายธรรม เป็นเสมือนประตูทางเข้าสู่การเดินทางด้านใน การค้นพบว่าชีวิตที่เกิดมามีคุณค่าและความหมายเหนือการถูๆไถๆวนไปตามเวรตามกรรม ทว่าเมื่อศักยภาพนั้นได้ฉายแสดงออกมาแล้ว สิ่งแรกผู้ฝึกจะต้องทำ เช่นเดียวกัน คือ การมอบศักยภาพทั้งหมดนั้นแด่สายธรรม จากนั้นจึงน้อมนำสู่การยังประโยชน์เพื่อผู้อื่นอย่างไม่หวังผลใดๆตอบแทน ใช้ศักยภาพนั้นเพื่อการขัดเกลาตนอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย เป็นกระบวนการบ่มเพาะความเต็มเปี่ยมจากภายใน จางคลายจากการปรุงแต่ง สู่ความบริสุทธิ์ของต้นธารแห่งศักยภาพภายในยิ่งๆขึ้นไป
"ภาวนาคือชีวิต" ดังนั้นเส้นทางแห่งการภาวนาจึงต้องแลกมาด้วยชีวิต การภาวนาไม่ใช่การลงทุนทางธุรกิจที่จะต้องได้อะไรเราจึงจะทำ "เอาชีวิตเข้าแลก" นั่นคือสิ่งที่สายธรรมต้องการจากเรา นั่นคือหนทางเดียวเท่านั้นที่การเดินทางแห่งจิตวิญญาณของเราจะบริสุทธิ์และจริงแท้ ดังที่เร้จจี้จะเน้นย้ำนักเรียนทุกคนเสมอว่า
"You must give your life; give everything to the dharma. And the dharma will give it back to you moment by moment."
ในดวงจิตแห่งครู
วิจักขณ์