30.9.09

เผชิญอย่างเทพ

- ในนาทีที่มีปัญหารุมเร้า แต่เรายังต้องให้ความเฮฮากับทุกคนอยู่ ณ ตรงนั้นปรับเปลี่ยนความรู้สึกอย่างไร?

ไม่รู้ ให้ตายห่าเลย ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย รู้ก็รู้ว่าปัญหารออยู่ข้างหลัง แต่เราก็เชื่อในคำพระท่านว่า "เมื่อสติมา ปัญญาเกิด" ใจเย็นๆไว้ ปัญหาจะเข้ามาชนก็ชนไป ปังๆ หลบหลีกบ้าง ล้มบ้างก็ได้ เดี๋ยวเราก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ทุกอย่างในโลกมันไม่จริง เป็นของปลอมๆหมด ปัญหา ชีวิต ทุกข์ ผิดพลาดไปก็แก้ไขไปเดี๋ยวก็จบ ยกตัวอย่างว่า มึงจะฟ้องกูล้มละลาย ก็ฟ้องไป เป็นแค่คำที่ให้มา เดี๋ยวก็แก้ไขได้ ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรมาก เคลียร์กันสิ เราก็ไม่ได้หนีหายไปไหน

- พวกพ้อง พ่อแม่พี่น้อง เรามี แต่มนุษย์เราต้องแสวงหาด้วยชีวิตตัวเราเอง

- คนเราคิดมากไปรึเปล่า? พยายามคิดอะไรให้เป็นระบบ หาเรื่องยุ่งมาให้ตัวเองมากไปหรือเปล่า คุณจะรู้เหรอว่าวันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง หรือทำไมต้องเอาเรื่องราวมากมายไปยัดเยียดให้เด็ก อยากถามหน่อยว่าเรารู้เท่ามันเหรอ อย่าเอาความโง่ไปให้เด็กเลย

- เราต้องรู้จักเผื่อใจนะ ว่าเดี๋ยวก็อาจจะเจ็บอีก เพราะไอ้ที่เราเรียนรู้มาแล้วมันแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง อนาคตข้างหน้าใครจะรู้ว่าจะเจออะไรอีก แต่เรื่องทุกอย่างมันลองได้ ถ้าตัวเราคิดว่าดี ก็ทำออกไปเลยร้อยเปอร์เซนต์ คนอื่นจะมองยังไงไม่รู้ ถ้าสิ่งผิดพลาดไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย เราก็คงไม่ได้มาถึงตรงนี้ เงินทองเป็นของนอกกาย กำไรชีวิตสิเก็บไว้ได้!


จาก สัมภาษณ์สุเทพ โพธิ์งาม "ชีวิตที่อยู่อย่างเทพ"
Maxim ตุลาคม ๒๐๐๙

16.9.09

ฆ่ากันเพราะรัก

คนเราฆ่ากันเพราะความรักได้จริงๆ
รักกันมาก จนถึงจุดที่ว่า
ถ้าฉันไม่ได้หัวใจของเธอมา เธอก็ตายไปเสียดีกว่า
หารู้ไม่ว่า
หัวใจทำได้แค่สัมผัสและให้ความรักความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
หาใช่เป็นที่กักขังความรัก
หรือหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพแห่งความสัมพันธ์ไม่

14.9.09

warrior's heart


i'll bring pain and joy into harmony within my broken tender heart.

picture given to me by Regan Halas
at the end of VTI 09

คำถาม

หากเราต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้
เป็นเมียฆาตกรฆ่าข่มขืน เป็นสามีหญิงมีชู้
เป็นลูกนักการเมืองโกงกิน
เป็นแม่ของลูกที่คิดจะฆ่าแม่ตัวเอง...

เราจะอยู่ร่วมกับเขาอย่างไร
เราจะสัมพันธ์กับเขาอย่างไร
ด้วยความรักในหัวใจที่ปรารถนาดีต่อเขา
กับจุดยืนและความต้องการของเราที่ต่างออกไป

เราจะอยู่กับสถานการณ์นี้อย่างไร
เราจะรักษาอิสรภาพของใจเราไว้ได้อย่างไร
เราจะรักคนที่เขาไม่รู้จักความหมายของความรักได้อย่างไร
เราจะให้อภัยคนที่เขาไม่รู้จักความหมายของคำว่าให้อภัยได้อย่างไร
เราจะเคารพคนที่เขาไม่เคยเคารพใครแม้แต่ตัวเองได้อย่างไร
เราจะให้อย่างไม่มีเงื่อนไขได้อย่างไร

ยากชิบหาย
แต่นั่นดูจะเป็นหนทางเดียว...

11.9.09

เปลี่ยนใครไม่ได้

เราคาดหวังให้ใครเปลี่ยนไม่ได้หรอก
คนเราในชีวิตหนึ่งๆ เปลี่ยนจริงๆน้อยมาก
ส่วนใหญ่ก็คงเดิมในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
สิ่งที่อาจจะมีคุณค่าและความหมายที่สุกสว่างมากขึ้น
หากยอมรับถึงความมีอยู่ของมัน

ใครมีแนวโน้มความกะล่อน
จะไปดุด่า และบอกให้เขาปรับปรุงตัว คงยาก
ความกะล่อนก็คงจะอยู่ของมันต่อไป
และคงมีประโยชน์บ้าง หากเขารู้ตัวถึงแนวโน้มนั้นของเขา

คนที่มีแนวโน้มที่จะทำร้ายคนอื่นทั้งทางกายและวาจา
ก็เช่นกัน จะบอกให้เขาปรับปรุงตัว คงยาก
เราก็ทำได้แค่แสดงความรู้สึกและความต้องการของเรา
จากสิ่งที่เราสัมผัส
และหาระยะห่างที่เหมาะสมในความสัมพันธ์
เราคงทำได้เพียงเท่านั้น

เพราะทั้งหมดก็เป็นเรื่องของเขา
ที่คงต้องเรียนรู้ผลจากสิ่งที่เขาเป็น ด้วยประสบการณ์ของเขาเอง
อย่าได้คิดไปเปลี่ยนใครเลย

10.9.09

หมายเหตุ

คอร์สจิตวิญญาณแห่งผืนดินที่เชียงใหม่กับพี่โจ คนสมัครน้อย จนมีแนวโน้มว่าจะอาจต้องล้มเลิก ซึ่งเราเองก็แอบเสียดายอยู่ลึกๆ แต่หากในโค้งสุดท้าย ยังมีใครที่สนใจแล้วยังไม่ได้ส่งอีเมล์มาแจ้ง อาจจะมาไม่ครบทุกวัน หรือ ขัดสนประการใดเรื่องค่าสมัคร ก็ขอให้กระซิบมาได้ที่ shambhala04@gmail.com

จริงๆแล้วคอร์สนี้วิทยากรทั้งสองคนมีความตั้งใจมาก เราถึงขนาดเดินทางขึ้นไปคุยกับพี่โจที่สวนพันพรรณ พี่โจบอกว่า แกไม่ค่อยได้เปิดคอร์สอบรมให้กับคนไทยมากเท่าที่ควร จะมีก็แต่คนที่มาขอดูงานเป็นกลุ่มจากที่ต่างๆ แกอยากทำอะไรให้สังคมไทย และเยาวชนไทยมากขึ้น (มีคนมักครหาว่าแกคบแต่กับฝรั่ง)ส่วนในส่วนของเราก็อยากจะมีโอกาสได้จัดคอร์สภาวนาระยะยาวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ลองดูที่ ๙ วัน ซึ่งด้วยสถานที่ของสวนพันพรรณ ก็น่าจะเอื้อต่อการประสานภาวนาเข้ากับการใช้ชีวิตอย่างติดดินร่วมกับธรรมชาติได้อย่างเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น สวนพี่โจยังใกล้กับป่า ที่น่าจะได้ลองพาเพื่อนๆเข้าไปสัมผัสกับการฝึกภาวนาในป่า เข้าฝึกเดี่ยวเผชิญความกลัวในนั้นกันซักคืนสองคืน

ยังไงก็ขอเชื้อเชิญนะครับ ไม่อยากให้คอร์สนี้ล่มจริงๆ แต่ก็เข้าใจดีถึงข้อจำกัดทั้งทางค่าสมัคร ระยะทาง และระยะเวลา ทว่าก็อยากให้ทุกคนที่สนใจได้บอกความต้องการของตัวเองมาก่อน หากอยากเข้าร่วมจริงๆเราค่อยมาหาทางออกร่วมกันครับ

8.9.09

ก้าวทีละก้าว

สวนกระแสก้าวๆๆ (090909) ด้วยการมาก้าวทีละก้าว (919)
กับ ชุมนุมโยคีและโยคินี ครั้งที่ ๖ ไม่ใช่ครั้งที่ ๙
วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒
ณ เรือนร้อยฉนำ สวนเงินมีมา
๘.๓๐ ถึง ๑๗.๐๐ น.

เช้าจดเย็นกับการนั่งเฉยๆร่วมกับเพื่อนร่วมทางที่เคยเจอกันมาในหลากหลายโอกาส
ใครจะมาก็มา ขอให้รู้ว่า "แค่มาภาวนากัน"

สำรองที่ล่วงหน้าด้วยตนเอง
ส่งอีเมล์มาที่ shambhala04@gmail.com
ระบุที่หัวอีเมล์ว่า “ก้าวทีละก้าว”

ค่าผ่านประตู: ช่วยลงขันกันคนละนิดละหน่อยตามกำลังก็แล้วกัน
จำนวน: ไม่เกินสี่สิบเก้า

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมมา:
๑. สายรัดเข่า, เข็มขัด, หรือ ผ้าขาวม้า
๒. อาหาร/ ของว่าง/ ของแจก สำหรับแบ่งปันเพื่อนๆโยคีและโยคินี (ถ้ามี)
๓. เบาะรองก้นที่คุณนั่งถนัดถนี่ (ถ้ามี)
๔. (กับ) เนื้อกับตัว

สิ่งที่ไม่ควรเอามา: รถยนต์

เรือนร้อยฉนำ สวนเงินมีมา: เลขที่ ๖๖๖ ถ.เจริญนคร เป็นตรอกห้องแถว
อยู่ระหว่างซ.เจริญนคร ๒๑ กับ ๒๒ ฝั่งตรงข้ามมีปั๊มเชลล์ ข้างๆมีอู่ซ่อมรถ และธนาคารไทยพาณิชย์

แผนที่ตามลิงค์ข้างล่าง
http://www.semsikkha.org/semmain/images/map/roychanum.jpg


แล้วเจอกันครับ
วิจักขณ์

มอง



เราต่างก็ต้องการมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างชัดเจน
ปราศจากผลกระทบให้บิดเบี้ยวจากอคติ
บิดพลิ้วจากความหวัง
บิดเบือนจากความกลัว
...
เราต่างก็ต้องการมองเห็นตัวเองและผู้อื่นตามที่เป็นจริง
ต่างก็อยากโบยบินเป็นอิสระ

แต่ขณะเดียวกัน
เราก็เพียงต้องการมองสิ่งที่อยากมอง
ปราศจากการศิโรราบให้กับสิ่งใด
...
เราบอกตัวเองว่า "ไม่พร้อม"
โลกที่เป็นจริง สว่างเกินไป
เจ็บเกินไปที่จะมอง
เจ็บเกินไปที่จะยอมปล่อยบางสิ่งบางอย่าง
ที่เราหวงแหนยิ่งกว่าชีวิต
...
แล้วเราก็ได้สูญเสียชีวิต
ได้สูญเสียศักยภาพของการมอง
ได้สูญเสียมิตรภาพกับสิ่งที่เป็นจริง
ทั้งๆที่เห็นแสงสว่าง
และความเป็นไปได้ในตัวเองอยู่รำไร

7.9.09

น้อมใจรับใช้ผืนดิน







"น้อมใจรับใช้ผืนดิน"
ภาวนากับการรับใช้สังคม
๒-๖ กันยายน ๒๕๕๒
กับ ปรีดาเรืองวิชาธร และ วิจักขณ์ พานิช
ณ อาศรมวงศ์สนิท นครนายก

1.9.09

จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒

บทนำ
งวลล กลลวง: ชีวิตและคำสอนของมหาสิทธานาโรปะ

โดย วิจักขณ์ พานิช

คำถามที่ดี คือคำถามที่รู้สึกดีที่ได้ถาม แต่หาได้มีคำตอบตายตัวให้เราได้พึงใจในทันทีไม่ ชีวิตทางจิตวิญญาณคือชีวิตที่อุดมไปด้วยคำถามเหล่านั้น ดังที่พระบรมศาสดาได้แสดงเป็นแบบอย่างของผู้แสวงหาความจริง ที่ไม่ตอแหล ไม่ดัดจริต และไม่ ”ปกติ”

น่าแปลกที่“แรงดลใจ” ของคน คนหนึ่งกลับเป็นอะไรที่อยู่ในรูปของคำถามเช่นเดียวกัน เพราะอะไรที่ใจถูกดลก็มักจะอยู่เหนือตรรกะเหตุผล จนนำใจเราไปสู่การเดินทางแสวงหา สัมผัสและดื่มด่ำไปในประสบการณ์การลองผิดลองถูกของคนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง ที่เราก็ไม่ยักรู้ว่าเป้าหมาย หรือคำตอบสุดท้ายของมันคืออะไร หากใครถามเราว่ามีแรงดลใจอะไรในชีวิต นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจ เพราะมันเป็นคำถามที่นำไปสู่คำถามอันรู้สึกดีที่ได้ถาม นั่นคือ “แรงดลใจ” ที่คงปราศจากคุณค่าและไร้ซึ่งเนื้อหาสาระ หากใจยังกล้าๆกลัวๆที่จะออกเดินทางสู่ทิศตะวันออกที่ทอดยาวรอเราอยู่เบื้องหน้า

เข็มทิศรู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด กับหลักธรรมที่เราศึกษาร่ำเรียนกันมาเป็นอย่างดี จำเป็นต้องถูกซึมซับเข้าไปอยู่ในเนื้อในตัว จนสลายขั้วกลายเป็นความนุ่มนวลอ่อนโยน ต่อทุกประสบการณ์ชีวิต และต่อทุกผู้คนที่ผ่านเข้ามาอย่างไม่ขัดขืน นั่นคือเข็มทิศอันจริงแท้ของผู้ปฏิบัติที่จะชี้ไปยังทิศแห่งปัจจุบันขณะเสมอ แต่กว่าการซึมซับเข้าสู่เนื้อสู่ตัวจะเกิดขึ้นได้อย่างจริงใจเป็นธรรมชาติ การถูกตบหน้าจนสลบครั้งแล้วครั้งเล่าจำเป็นต้องเกิดขึ้น กระบวนการทั้งหมดช่างเป็นเรื่องเจ็บแสบปนตลกขบขัน เป็นความน่าอับอายขายขี้หน้า ที่ยากจะรับได้ของเส้นทางการขัดเกลาตน ความขรุขระ เทอะทะ หยาบกระด้าง จะค่อยๆถูกเจียระไนให้เนียน ใส และคมชัดด้วยวงล้อวัฏสงสาร เจ็บ ปวด แตก สลาย กลายเป็นพลังแห่งความตื่นจากการเข้าไปสัมผัสทุกขสัจจ์อย่างตรงไปตรงมา เปิดลอกม่านบังตาทางตรรกะออกทีละชั้น จนเราสามารถเห็น สัมผัส และดื่มด่ำโลกด้วยใจที่เปล่า ปล่อย และเปลือยแท้จริง

“อย่าได้สับสนความพึงใจในนิโรธ โดยปราศการเอาชีวิตเข้าแลกบนอริยมรรค” เส้นทางการแสวงหา “ครู” ไม่ได้ถูกโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ได้มีไว้ให้หลับๆตื่นๆ งงๆและงมงายไปวันๆ ไม่ได้มีไว้ให้กับ “ผู้รู้” ผู้ไม่ยอมลงมาเนียนัว เกลือกกลั้วกับดินโคลนแห่งประสบการณ์ชีวิตเพราะกลัวเจ็บ

หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยถ้อยคำประหลาด ไม่ต่างกับการพบเจอหญิงอัปลักษณ์ ๓๗ ประการ ที่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง เราอาจจะรู้สึกรังเกียจ และไล่เตะหญิงอัปลักษณ์ (และหนังสือเล่มนี้) ไปอย่างไม่ใยดี แต่บางทีเงามืดของเธอที่ทอดทับโลกที่คาดเดาได้ของเรา อาจเข้ามาเสียดสีให้เรารู้สึกระคายเคือง เกิดเป็นคำถามกับตัวเอง ที่รู้สึกดีที่ได้ถาม จนอาจนำไปสู่การเดินทางออกตามหา “ตีโลปะ” ก็ได้ใครจะไปรู้

และผมก็แอบหวังเช่นนั้นอยู่ลึกๆ…


วิจักขณ์ พานิช
สิงหาคม ๒๕๕๒

________________________________

ข่าวฝากประชาสัมพันธ์มณฑลวัชรปัญญา

๑. จิตวิญญาณแห่งผืนดิน กับ โจน จันได ๙ ถึง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ ณ สวนพันพรรณ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

นานๆทีจะมีคอร์สพรรณนี้ ภาวนา เข้าป่า ปลูกผัก นอนบ้านดิน กินออร์แกนิค สมัครไปอย่าได้ลังเล รีทรีทเดียวและรีทรีทสุดท้ายที่เหลืออยู่ของปีนี้ ก่อนวิจักขณ์จะหลบกบดานอยู่ที่บ้านตีโลปะ (เหล่านักรบ "ภาวนาคือชีวิต" พิจารณามารวมตัวกันที่นี่ด่วน) ติดต่อ shambhala04@gmail.com หรือ นภา 089-160-3588

๒. หนังสือยังไม่เสร็จ ใจเย็นๆ