22.9.08

จดหมายข่าววัชรปัญญา กันยายน ๒๕๕๑

วันก่อนได้รับอีเมล์จากนภา สะดุดกับเนื้อความตอนหนึ่งที่ว่า....
................

อาจารย์ชัยวัฒน์สอนว่า หัวใจของเราต้อง broken หลายๆครั้ง แล้วเราจะพบ real heart

"If we know how to hold our heartbreak, the heart breaks open into something larger. This tight little fist of a thing called the heart, by being broken open, now has new capacity to hold our own pain and our own joy, and a new capacity to hold the same in the larger world. "

Parker Palmer

.................

ถ้าหัวใจเป็นเหมือนก้อนเนื้อเชิงวัตถุธรรมก้อนนึง เวลาที่มันถูกทำให้เจ็บปวด เผชิญกับความสูญเสีย ความพลัดพราก การแตกสลายของมันก็คงนำมาซึ่งความดับสูญ ความพร่อง และความโกรธแค้น ทรมานแสนสาหัสของการหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง นั่นคือทัศนคติแบบปกป้องปิดกั้นของอัตตา เป็นวิถีของการมองโลกแบบแยกเป็นส่วนๆ, hope & fear, ควบคุมตามความยึดมั่นทางความคิดอย่างแข็งทื่อ และในความเป็นจริงเราต่างก็มีความคุ้นเค้ยกับการมองโลกแบบนั้นไม่มากก็น้อย ซึ่งสิ่งหนึ่งจะเข้ามาช่วยให้เรา "ตื่น" ขึ้น นั่นก็คือ ไฟแผดเผาของความทุกข์นั่นเอง

สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว "ความทุกข์คือหนทาง" มันคือข้อความแห่งความรักและความเมตตาแห่งสากลจักรวาล ที่ส่งผ่านโลกอันดำมืดของอัตตาที่เราคิดว่าสวยงามที่สุด สว่างงดงามที่สุด ไม่ว่าตัวตนของเราจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน ความรักอันไม่มีเงื่อนไขแห่งจักรวาลก็พร้อมที่จะส่งผ่านให้เราเรียนรู้ที่จะเปิดรับกับแง่มุมของความเป็นมนุษย์ในด้านที่เรามองข้ามไปอยู่เสมอๆ ขอเพียงแค่เรายอมที่จะรับ และเปิดใจให้ไฟอันโชติช่วงแห่งประสบการณ์อันหมิ่นเหม่ ได้เผาผลาญความอหังการทางความคิด ที่ได้ปิดกั้นไม่ให้เราได้มองเห็นความเป็นไปได้อื่นๆในความเป็นมนุษย์

ความทุกข์คือเพื่อนแท้ ที่ไม่เคยโกหก มีแต่เราที่มักจะโกหก เสแสร้ง และกลบเกลื่อนกับเพื่อนคนนี้อยู่เสมอ ความทุกข์คือความเมตตา....คือเสียงอันอ่อนโยนของแม่ธรณีที่กระซิบข้างหูเราอย่างแผ่วเบา บอกให้เราได้...เปิด....ปล่อย....ผ่อน....วาง...ศิโรราบกับทุกประสบการณ์บนเส้นทางด้วยพื้นที่ของใจที่ไร้อคติ

พื้นที่ของใจจะเปิดออกได้ก็ด้วยการเสียดแทงของความทุกข์ หัวใจที่แตกออก สลายออก ก้าวข้ามความเป็นวัตถุธรรม สู่การสัมผัสรับรู้ทางจิตวิญญาณอันอ่อนโยน ที่แน่นอนว่ายิ่งจะเชื้อเชิญการรับรู้ที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น และยิ่งจะสัมผัสจิตใจอันไร้กฏเกณฑ์ของเพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้น

ท่ามกลางไฟร้อนแรงที่แผดเผา...ท้ายสุดก็ขึ้นอยู่กับเพียงตัวเรา ที่จะสามารถฝึกฝนให้ดำเนินอยู่บนวิถีแห่งความสงบเย็น ท่ามกลางความโกลาหลนั้นได้อย่างไร?

คำตอบไม่มีเขียนไว้ในหนังสือเล่มไหน จะพบได้ในชั่วขณะที่หัวใจแตกสลาย ศิโรราบให้กับภาวะแห่งการตื่นรู้ภายในเพียงเท่านั้น...

"A Heart Lost And Discovered"

If there is no full moon in the sky,
How is it possible to see the reflection in the pond?
If the tiger has sharp claws,
How is it possible not to use them?
How could we bake our bread
If there were no fire?
....
Those who have never cried in their lives, cry this time,
And shed tears that will water the earth:
So, we can produce further flowers and greenery.

Chogyam Trungpa Rinpoche

ระลึกถึงเพื่อนๆทุกคนเสมอ
วิจักขณ์

18.9.08

จากเพื่อนร่วมทาง



“วิถีพุทธธรรม” ก็เป็นดังพาหนะและเป็นรากฐาน ที่นำพาเราไปในการเดินทางของชีวิต การเดินทางที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยความตื่นรู้ และความพร้อมในการเข้าไปดำเนินการกับชีวิต และธรรมะมีแง่มุมของความละเอียดอ่อน ให้เราได้แลเห็นคุณค่าในความเป็นจริงได้อย่างเหมาะสม ปราศจากความหยิ่งยโส และความก้าวร้าว เพื่อตระหนักรู้ว่า วันทุกวันเป็นวันใหม่ มันไม่เหมือนเดิม และทุกผู้คนไม่เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ ใช้ความอ่อนโยนที่ได้จากการปฏิบัติ เพื่อได้มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความจริงที่เป็น...

อ่าน "วิถีนักรบ ในสังคมปัจจุบัน"โดย พรเพ็ญ วงศ์กิจมโนชัย

อ่าน "แด่..เส้นทางแห่งการฝึกตน"โดย ปลายฟ้า

16.9.08

เสียงคำรามของพี่อ้อม



"วันนั้นเมื่อเราสังสรรค์กันที่โต๊ะอาหาร คุณสุนัยถามด้วยดวงตาสงสัยว่า คุณอ้อม ไหนบอกผมซิว่ามันทุกข์อะไรนักหนา เวลามีความทุกข์นั้นเกิดอาการอัศดงแล้วลนลานอยากขับไล่ไปให้ไกล แต่ตามตำราบอกว่ายิ่งต่อสู้ศัตรูยิ่งกล้าแข็ง และมันก็เป็นดังนั้นจริงๆ จึงต้องยอมจำนน ด้วยการทรุดตัวลงนั่งผูกสัมพันธ์กับอารมณ์ตัวเอง

นึกถึงคำสอนของท่านตรุงปะ ...จงปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับห้วงอารมณ์ ค่อยๆผ่านมันไป สยบยอมต่อมัน แลสัมผัสลิ้มรสมันดังที่เป็น ณ บัดนี้คุณเริ่มต้นเป็นฝ่ายมุ่งเข้าไปหาอารมณ์ มากกว่าจะปักหลักให้อารมณ์โถมเข้าหาคุณ เมื่อนั้นก็จะก่อเกิดความสัมพันธ์ เกิดการจับคู่เริงรำ และแล้วพลังอันทรงศักดานุภาพก็จะกลายเป็นสิ่งที่ใช้การได้ยิ่งกว่าจะเป็นสิ่งที่ครอบงำ หากคุณไม่มีทีท่าต่อต้านทัดทาน เมื่อปราศจากการต่อต้าน ท่วงทำนองและจังหวะลีลาก็จะปรากฏขึ้นพร้อมกัน นี่เองคือสีหนาทบันลือ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในจิตอันเวียนว่าย ย่อมถือเป็นมรรควิธี

ประโยคนี้ชอบมากค่ะ ...ห้วงอารมณ์ของคุณหาได้เลวร้ายหรือบ้าคลั่งเป็นพิเศษ หากแต่เป็นการพวยพุ่งของพลัง แล้วก็พลิกตำราว่าด้วยพลัง การกระทำการร่วมกับพลังในแง่ของตันตระคือกระบวนการสลายคลายออกและปลดปล่อยให้เป็นอิสระ นี่เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่ง เรากำลังพูดกันถึงเรื่องพลังในฐานะบางสิ่งบางอย่างที่แผ่ออกและเปิดกว้าง พลังกลายเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ทั่วทุกทิศทาง ปกคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าหากเราไปรวมศูนย์พลังไว้ในตน ก็เท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว เราจะพบว่าตนเองเป็นเหมือนดั่งลูกงูที่ฉุนเฉียวและชั่วร้ายแต่ทว่าก็ยังเล็กนักหรือเราจะพบว่าเราคล้ายดั่งลูกนกยูงตัวน้อยที่เต็มไปด้วยความสิเนหา ดังนั้นยิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจดจำไว้ว่า โดยนัยแห่งพุทธตันตระ ถือว่าพลังเป็นสิ่งที่เปิดกว้างและครอบคลุมทุกหนทุกแห่ง มันแผ่ขยายออกตลอดเวลา มันเป็นพลังที่ไม่รวมศูนย์ หากเต็มไปด้วยความหลากไหล เป็นดุจน้ำ เป็นดั่งห้วงสมุทรและอวกาศ เป็นดั่งแสงอาทิตย์และแสงจันทร์.

หากพบคุณสุนัยจะเล่าว่า ความทุกข์นั้นมันเหมือนหมอกที่แผ่ซ่านคลอบคลุมทุกอณูกายค่ะ มันขื่นขมด้วยนะคะและหัวใจนั้นก็สั่นระรัวแล้วเต้นแผ่ว กลิ่นของมันซ่านในจมูกยากจะบรรยายว่าเป็นเช่นไรและอ้อยอิ่งสถิตอยู่ในนั้น ...และอีกนา นา เมื่อเราทรุดตัวลงนั่งด้วยยอมจำนนทุกอย่างก็คลี่คลาย ช่างสุดแสนจริงๆ แล้วเราก็มีอาการ ฮึ!แล้วไง สลายลง แล้วไง ไม่เห็นจะเกิดปัญญาอะไรเลย ที่จริงแล้วความทุกข์ทำให้เราลดความอหังการ์และเกิดเมตตา ในมุมมองเรื่องพลังทำให้ลดความจี๊ตได้มากค่ะ ช่วงนี้ไม่จี๊ตเลยมีความเข้าใจ รัก และเมตตา

ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา ฝึกทุกวันค่ะในเรื่องที่ครูตั้มสอน เพื่อว่าจะได้ชำนาญคล่องแคล่วในการนำมาใช้ แต่จะถูกต้องหรือไม่ก็ไม่ทราบค่ะ ฮ่า! ปลอบใจตัวเองว่าไม่มีอะไรถูกหรือผิด ตอนนี้ เปิด เปิด เปิด ผ่อนคลาย เริ่มเป็นมนต์ประจำตัวค่ะ"

อ้อม (ยังเหมียว เหมี๊ยว เหมียว หง่าว เปล่าคำรามก้องทั่วสารทิศ)

(จาก "ภาวนาคือชีวิต: เปิดมณฑลแห่งการตื่นรู้สู่การดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม")

9.9.08

สู่โลกกว้าง



เมื่อเยเชออกไปเรียนรู้โลกกว้าง...
ป้ายแรก คือ ร้านกาแฟ Le Petit
ของป้านอยและลุงแจ็ค

ที่นี่ กาแฟหอม เค้กอร่อย
เป็นแหล่งรวมสาววัยรุ่นไฮโซในเชียงราย
(พ่อบอกมา)

5.9.08

จิตตปัญญา ม.มหิดล





(บน) ภูมิ นอย เพ็น นุช ตู่ เปิ้ล วิช กี้
(ล่าง) เจ จี่ นิต้า ตั้ม อ้อ ปา นผุย หยิก หมู
_____________________

เป็นโอกาสแรกที่ได้รู้จักนักเรียนจิตตปัญญาทั้ง ๑๔ คน ทั้งยังได้พูดคุยกับอาจารย์จี่ และอาจารย์ปา ในหลายๆเรื่อง เพื่อนๆทุกคนน่ารัก และเป็นกันเอง ทำให้การทำงานครั้งนี้เป็นไปอย่างรื่นรมย์ สบายๆ และไม่เหนื่อยเลย

สิ่งที่อยากจะสื่อสารกับเพื่อนๆทุกคน คงมีแค่เรื่องพื้นฐานของการภาวนา นอกนั้นคงเป็นความศรัทธาในเส้นทางการแสวงหาคุณค่าและความหมายของการมีชีวิตอยู่ในแบบของแต่ละคนเองเพียงเท่านั้น

'foundation of contemplative practice'
4-5 september 2008
faculties and master students
center of contemplative education
mahidol university, Salaya

3.9.08

จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๑

จดหมายข่าวฉบับนี้ ขอนำ Doha (บทเพลงแห่งการตื่นรู้) บทหนึ่ง ที่แต่งโดยท่านเชอเกียม ตรุงปะ ส่งมาเป็นเครื่องเตือนใจ บนเส้นทางการภาวนาของเพื่อนๆนักรบทุกคนครับ


The Doha of Confidence
"Sad Song of the Four Remembrances"
by Chogyam Trungpa


As I look constantly to the Great Eastern Sun,
Remembering the only father guru
Overwheming devotion blazes like a bonfire--
I, Chokyi Gyatso, remain alone.

Having been abandoned by my heart friends,
Though my feverish mind feels great longing,
It is joyful that I am sustained by this great confidence,
of the only father guru and the Great Eastern Sun.

Having seen the beauty of a mist covering the mountain,
the pines moving gently in the wind,
the firm power of rock-hard earth,
I am constantly reminded of the splender and beauty,
of the only father guru and the Great Eastern Sun.

Wild flowers extend everywhere
On mountain meadows filled with the sweet smell of fragrant herbs
Seeing the gentle deer frolicking from place to place,
I constantly remember the compassion and gentleness
of the only father guru and the Great Eastern Sun.

Fighting enemies in the chasm of love and hate,
Having sharpened the weapon's point of joy and sorrow, hope and fear,
seeing again and again these cowardly hordes,
I take refuge in the sole confidence
of the only father guru and the Great Eastern Sun.

Fatherless, always dwelling in foreign lands,
Motherless, not hearing the speech of my own country,
Friendless, tears not quenching my thirst,
Remembering the warriors of the father and mother lineages,
I live alone in the sole blessing
of the only father guru and the Great Eastern Sun.


Chogyam Trungpa Rinpoche
From "Rain of Wisdom" p. 289


ในสายธารแห่งการตื่นรู้
วิจักขณ์


________________________

- ข่าวฝากประชาสัมพันธ์ -
http://vichak.blogspot.com

๑. ขอเชิญร่วมงาน “เปิดประตู...สวนโมกข์กรุงเทพฯ”วันศุกร์ที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๓๐ น. ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ถนนรัชดาภิเษก ฟังปาฐกถาจาก ศ.นพ.ประเวศวะสี, อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์, อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, ว.วชิรเมธี,
และอื่นๆ

๒. อยากจะขอเชิญเพื่อนๆมาเข้าร่วมอบรมในคอร์สจิตวิญญาณแห่งนักรบ: วิถีแห่งความสงบเย็นท่ามกลางไฟแผดเผาร้อนแรง คอร์สภาวนา ๖ วันเข้มข้น บนหนทางอันปราศจากจุดหมายของนักรบชัมบาลา เราจะสืบค้นความลุ่มลึกของวิถีแห่งนักรบในทุกๆแง่มุม ๒๕-๓๐ กันยายน เปลี่ยนไปใช้สถานที่ ณ ไร่คุณหญิง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ค่าลงทะเบียน ๕๕๐๐ บาทต่อท่าน สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ เจน 089-662-0088

๓. อ่าน "รสธรรมในค่ำคืนโลกๆ" โดย วิจักขณ์ พานิช ความเรียงในนิตยสาร IMAGE ฉบับล่าสุด เดือนสิงหาคม หน้าปกพลอย เฌอมาลย์สุดเซ็กซี่

เปิดประตูสวนโมกข์กรุงเทพฯ



งาน “เปิดประตู...สวนโมกข์กรุงเทพฯ”
วันศุกร์ที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๓๐ น.
ณ หอประชุมมหิศร
ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ถนนรัชดาภิเษก

ฟังปาฐกถาจาก ศ.นพ.ประเวศวะสี, อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์, อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, ว.วชิรเมธี, และอื่นๆ

>>อ่านกำหนดการและรายละเอียดทั้งหมด >>>

รสธรรมในค่ำคืนโลกๆ




เขาเชื่อว่าโลกแบ่งเป็นสองขั้ว คือ โลกทางธรรมและโลกทางโลก (aka. โลกๆ) เขาเคยคิดว่าเขามั่นใจและเข้าใจ จนวันนี้ที่เขาได้ตระหนักแล้วว่า มันก็ยังเป็นเพียงแค่ “คิด” ว่าเข้าใจ หลายปีที่เขาพยายามขดตัวอยู่ในโลกทางธรรมที่เขาสร้างขึ้นจากอุดมคติของความเป็นคนสมบูรณ์แบบ เขารู้สึกถึงรสประหลาดของชีวิตที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นของความหมกมุ่น ไอเดือดของความรุ่มร้อน และผลึกอันเย็นเยือกของความด้านชา

วันนี้...เขานั่งครุ่นคิด ทบทวน กับเส้นทางอันแสนประเสริฐที่เขาเลือกเดิน
ไอคุกรุ่นเดือดดันฝากาให้กระเด็นออก เสียงหวีดร้องก้องดังอยู่ในความเงียบงัน

เขารู้สึกหนัก

ภาพของความเป็นคนดีสมบูรณ์แบบที่เขาแบกไว้เต็มสองบ่ามาตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปี


ความเงียบและความนิ่งเข้าปกคลุมอีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะเก่งในการสร้างบรรยากาศเช่นนี้เสียจริง ทั้งที่เขารู้ดีว่า มันก็แค่กลไกของการกลบเกลื่อน

แววตาที่สงบนิ่ง ไร้อารมณ์ ไร้ชีวิตชีวา ทอดไปยังขอบฟ้าที่ถูกบดบังโดยตึกสูง



ฝนตกพรำๆ กับท่วงทำนองของการย่ำเดินไปบนขอบถนนสายหนึ่ง เขามาถึงแล้ว...

เด็กสาวผิวขาวสวยยืนรอรับตั้งแต่หน้าประตู ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความลังเลสับสน จังหวะหัวใจที่เต้นไม่เป็นระสาย ขาของเขาสั่นอายปราศจากแรงก้าว

“ที่อโคจร” ความคิดแรกเข้ามาเยือนในหัว สมกับความเก่งกาจใน “วิชาธรรมะ” ที่เขาทำเป็นอาชีพ เขาเตรียมจะเอาหลักธรรมมาสร้างภาพอารยธรรมของความสงบนิ่งอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมา การกดทับและความพยายามตัดไฟปรารถนาไม่ได้ช่วยให้เขาได้เข้าใจความเป็นอนิจจังของพลังอันเร่าร้อนที่ลุกโหมในใจเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ครั้งนี้เขาได้บอกตัวเองแล้วว่า “เขาจะไม่หนี”

ในที่สุดสองเท้าก็พาเขาก้าวผ่านบานประตูกระจกใส แววตาของเขาเป็นประกายในแว้บแรกที่เห็นร่างสะโอดสะองของเด็กสาววัยยี่สิบเศษ ยืนเรียงต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม

“สำรวม” สัญชาตญาณความคิดทางธรรมอัตโนมัติได้สั่งการให้เขาละสายตาและก้มหน้าดุ่มเดินผ่านผู้คนไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีเขาก็มาหยุดอยู่ที่มุมสงบบริเวณบาร์เหล้า หญิงสาวในชุดซีทรูกับเนินปทุมถันที่ดึงดูดส่งยิ้มให้เขา “สั่งเหล้าอะไรดีคะพี่”

“ผมไม่ดื่มสุรา” ธรรมวาจาอัตโนมัติเปล่งออกไป ความคิดเสียดายที่เขาน่าจะสั่งเหล้าสักแก้วมาย้อมใจก็ผุดพรายขึ้น เขาจึงงัดกลวิธีการตัดความคิดออกมา แล้วพาตัวเองกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง เขาก้มหน้า ควานหาที่หลบภัยจากโลกอกุศล ตัวของเขาเกร็ง ขาของเขาแข็ง

“ผู้หญิงไม่ดีพวกนี้...” เขาหยุดตัวเองไว้เพียงต้นประโยค เพราะรู้สึกละอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ
เพียงเพื่อหาภาพลักษณ์ดูดีเป็นที่ซ่อน เขาจำเป็นต้องหยิบมีดสั้นแห่งการตัดสินออกมาเชือดเฉือนคุณค่าความเป็นคนของคนอื่นอย่างไม่มีชิ้นดี...อีกแล้วสินะ

เขาถอนหายใจ พลางจิบสุราเจือโซดา เริ่มรู้สึกผ่อนคลายกับความไม่สมบูรณ์แบบของตนเองมากขึ้น
......

กลิ่นน้ำหอมที่เย้ายวน การยักย้ายส่ายไหวที่ดึงดูด เสียงดนตรีที่ปลุกไฟปรารถนาให้โชติช่วง และสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้ในค่ำคืนพิเศษคืนนี้ สิ่งที่กระแทกใจ สะท้านทุกความเคลื่อนไหวทางความคิด มันคือ พื้นที่อันกว้างใหญ่ไร้การตัดสิน พื้นที่ที่รองรับให้ทุกสิ่งสามารถแสดงสีสันที่มันเป็นได้อย่างไม่ขวยเขิน

ประตูกระจกใสเปิดสู่โลกการรับรู้ภายในที่เต็มเปี่ยม รสสุราช่างหอมหวาน ส่งผ่านความนุ่มละมุนแห่งความรัก หญิงสาวกับรอยยิ้มแห่งความเบิกบานร่ายรำบนฟลอร์แห่งความไว้วางใจชีวิต ชีวิตที่รุ่มรวยไปด้วยเรื่องราวและสายสัมพันธ์อันหมิ่นเหม่

อิสรภาพจากคุกคุมขังแห่งการตัดสิน
เขารู้สึกราวกับว่า เส้นทางแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของเขาได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

โลกทางธรรมผ่อนคลายขยายกว้าง
เปิดมณฑลแห่งการรับรู้อย่างไม่มีเงื่อนไข ที่หลอมรวมเรื่องโลกๆเอาไว้ ด้วยใจที่อ่อนโยนเป็นมิตร

* * * * * * * * *
(จาก "รสธรรมในค่ำคืนโลกๆ" งานเขียนรับเชิญ โดย วิจักขณ์ พานิช
คอลัมน์ his voice นิตยสาร IMAGE ฉบับเดือนสิงหาคม หน้าปกพลอย เฌอมาลย์ สุดเซ็กซี่)

สามก๊กฉบับคนกันเอง



เมื่อวานไปนั่งคุยกับคุณเอื้อ อัญชลี
คอลัมนิสต์มติชนสุดสัปดาห์ "สามก๊กฉบับคนกันเอง"
ด้วยว่าแกเผลอไปถูกใจกับ "บนเส้นทางแห่งการฝึกตน" เข้า

เนื่องจากไม่เคยอ่านสามก๊ก
การคุยก็เลยไม่มีอะไรเกี่ยวกับสามก๊ก

รู้สึกแปลกๆกับการที่ถูกสัมภาษณ์
แล้วไม่รู้ว่าเค้าจะเอาไปเขียนเกี่ยวกับเรายังไง
ไม่รู้อะไรเลยจริงๆก็ว่าได้
แต่ก็รู้สึกสนุกที่ได้ไปสัมภาษณ์ร่วมกับพี่หนึ่ง
พี่ชายที่มีความแปลกเป็นปรกติ
อันเป็นที่โดนใจคุณเอื้อ อัญชลีเข้า

ยังไงก็ตามลุ้นอ่านสามก๊กฉบับคนกันเอง (ตอนคุณหนึ่งและคุณตั้ม)
ได้ในมติชนสุดสัปดาห์
อีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้านี้

1.9.08

สันติวิธี



วันนี้มีโอกาสไปนั่งประชุมจิตวิวัฒน์หลังจากที่ห่างหายไปนานหลายเดือน
คุณสันติสุข โสภณศิริ สามีของพี่รสนามาเป็นแขกรับเชิญ
พี่สันติสุขแกเป็นนักต่อสู้ทางสังคมคนนึงที่ยืดหยัดบนพุทธวิถีมาโดยตลอด
ต่อมาแกหันไปเอาดีทางการแพทย์แผนไทย
แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายนักเคลื่อนไหวตามแนวทางสันติวิธี

วันนี้ได้รับรู้เรื่องราวของสถานการณ์ทางการเมืองอย่างละเอียด
เป็นข้อมูลจากวงในที่ทำให้เกิดความปลงสังเวชกับเหตุการณ์ที่กำลังคุกรุ่น
รู้สึกชื่นชมกับทั้งพี่สันติสุขและพี่รสนา
ที่สามารถนำเอาพุทธธรรมมาสู่การทำงานเพื่อสังคมได้อย่างน่าทึ่ง

พี่สันติสุขกล่างถึงคำว่า "กรรมพันธุ์"
หมายถึงกรรมของเผ่าพันธุ์ ประเทศ วัฒนธรรม หรือกลุ่มคนที่สั่งสมกันมา
เราแต่ละคนนอกจากมีกรรมเป็นของตนเอง
เรายังต้องแบกรับกรรมของเผ่าพันธุ์ในฐานะที่เกิดมาในสิ่งแวดล้อมนั้นๆ
ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
เป็นเรื่องที่สะสมมาเรื่อยๆตามประวัติศาสตร์
เก็บเป็นเชื้อแห่งกรรมพันธุ์ที่แทรกซึมอยู่ในเลือดในเนื้อของคนในสังคมนั้นๆ
แต่ละคนจึงมีภาระที่จะเผชิญและทำความเข้าใจ
กับเชื้อแห่งความรุนแรงที่ว่า
เพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นทาสของมัน
ปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความรุนแรง
สู่อิสรภาพในแนวทางแห่งสันติวิธี