28.8.07
ถึงกัลยาณมิตร
สวัสดีครับทุกคน
ผมกลับมาถึงกรุงเทพฯตั้งแต่บ่ายแก่ๆของวันพฤหัสที่ผ่านมา ตอนนี้ก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยมาได้ห้าวัน เป็นช่วงของการปรับตัวหลายๆอย่าง รู้สึกได้ถึงความเปราะบางในทุกๆด้าน ในสี่ห้าวันที่ผ่านนี้ผมแทบจะไม่ได้โทรไปหาใครเลย จนมีเพื่อนเก่าคนนึงทักว่า "ทำไมกลับมาแล้วถึงได้เงียบจัง" แม้แต่เรื่องงานผมก็ไม่มีความคิดที่อยากจะโทรไปหาใครให้มากความ ไม่ได้ต้องการที่จะโฆษณาตัวเองหรือทำให้การกลับมาครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
อาจจะมีความรู้สึกคล้ายกับอาหมอวิธานที่ว่า "ในช่วงนี้โดยส่วนตัวผมใช้เวลาอยู่กับตัวเองค่อนข้างมาก และปรับเวลาปรับสมดุลในการทำงานบางอย่างเพราะมีความรู้สึกว่าอยากจะทำงานอะไรบางอย่างค้นคว้าอะไรบางอย่างกับตัวเอง อย่างน้อยก็ในช่วงนี้" ครับ...ผมรู้สึกว่าผมอยากค้นคว้า ทดลองในเรื่องของจิตวิญญาณภายในอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการงานชีวิต อย่างที่ไม่ต้องรีบร้อน แน่นอนว่ามันมีความหมิ่นเหม่ผุดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เพราะความคาดหวังทางสังคมต่างก็มุ่งไปที่งานประจำและเงินเดือน เพื่อจะได้สร้างภาพของความมั่นคงให้กับตัวตนของเรา คิดถึงเรื่องงานประจำทีไร ผมก็นึกเสียดายสิ่งที่เราอุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา คิดถึงอิสรภาพทางจิตวิญญาณของการมีชีวิตอยู่ในแต่วันของเรา ดูเหมือนจะต้องถูกจำกัดไปกับกรอบและบรรทัดฐานของสถาบันที่โดยส่วนตัวไม่ได้มีความศรัทธาอะไรทั้งสิ้น
ดีใจมากที่ตัดสินใจออกไปเจออาใหญ่ กับพี่ณัฐที่สยามพารากอนเมื่อสองวันก่อน และได้มีโอกาสเจอคุณสมพลกับภรรยาเป็นครั้งแรกด้วย แม้วันนั้นจะค่อนข้างเหนื่อยเพราะคืนก่อนได้นอนไม่กี่ชั่วโมง แต่เหมือนผมได้ไปรับอาหารทางจิตวิญญาณ เป็นกำลังใจที่มีค่าจากกัลยาณมิตรสองคนที่ผมรักและนับถืออย่างสุดหัวใจ พี่ณัฐบอกผมว่า น่าแปลกที่เราสองคนก็ไม่ได้เจอกันบ่อย แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ดูเหมือนเราจะมีความสนิทแนบแน่นกันมากขึ้นอย่างประหลาด ผมเห็นด้วยมาก และรู้สึกเช่นนั้นกับอาใหญ่ด้วย แรกๆผมรู้สึกยำเกรงอาใหญ่ รู้สึกว่าอาใหญ่เป็นคนหนักๆ คิดเยอะ แต่ครั้งนี้รู้สึกได้ถึงหัวใจที่อ่อนโยน ผมประทับใจกับความห่วงใยและปรารถนาดีจากแววตาที่อาใหญ่มีต่อผมตลอดการพูดคุยกัน โดยเฉพาะคำแนะนำที่อาใหญ่บอกผมว่า "หากเป็นไปได้ อย่ารับงานประจำในช่วงปีแรกนี้" ....อยากบอกว่าโดนมาก โดนจริงๆ เพราะตั้งแต่กลับมามีแต่คนบอกให้ไปรับงานที่โน่นที่นี่ แต่ไม่เคยมีใครแนะนำให้อย่าไปรับงานประจำ...
หลายวันที่ผ่านมา ผมได้มี inner dialogue กับตัวเองอยู่ตลอด ได้ให้เวลากับตัวเองได้ผ่อนพัก ได้จัดห้องปฏิบัติที่บ้านและเริ่มการฝึกประจำวัน เสียงกันถะ (ระฆังมือ) และดามารุ (กลองมือ) ฟังดูแปลกหูกับบรรยากาศรอบตัวที่เมืองไทย แต่ทุกครั้งที่ได้ฝึก ผมจะคิดถึงอาจารย์ของผมเสมอ คิดถึงท่านตรุงปะ และธรรมาจารย์ในสายธรรมทั้งหลาย รู้สึกได้ว่าท่านเหล่านั้นอยู่รอบๆคอยประคับประคองเราอย่างใกล้ชิด รู้สึกภูมิใจในความเปราะบางของตัวเองตอนนี้ อย่างที่เรียกว่าเป็น Vajra Pride เป็นความทนงในความไร้ตัวตน ขณะเดียวกันก็พร้อมกับบทเรียนต่างๆที่รออยู่ข้างหน้าและพร้อมที่จะก้าวเดินไปอย่างช้าๆ