29.8.07

miracles...

you are a miracle.
we are all miracles...

you know why?

because as humans,
everyday we go about our business
and all that time we know;
we all know that the things we love,
the people we love...
at any time, it can be taken away.
we live knowing that and we keep going anyway.

from movie, "Little Children"

28.8.07

ถึงกัลยาณมิตร



สวัสดีครับทุกคน

ผมกลับมาถึงกรุงเทพฯตั้งแต่บ่ายแก่ๆของวันพฤหัสที่ผ่านมา ตอนนี้ก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยมาได้ห้าวัน เป็นช่วงของการปรับตัวหลายๆอย่าง รู้สึกได้ถึงความเปราะบางในทุกๆด้าน ในสี่ห้าวันที่ผ่านนี้ผมแทบจะไม่ได้โทรไปหาใครเลย จนมีเพื่อนเก่าคนนึงทักว่า "ทำไมกลับมาแล้วถึงได้เงียบจัง" แม้แต่เรื่องงานผมก็ไม่มีความคิดที่อยากจะโทรไปหาใครให้มากความ ไม่ได้ต้องการที่จะโฆษณาตัวเองหรือทำให้การกลับมาครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

อาจจะมีความรู้สึกคล้ายกับอาหมอวิธานที่ว่า "ในช่วงนี้โดยส่วนตัวผมใช้เวลาอยู่กับตัวเองค่อนข้างมาก และปรับเวลาปรับสมดุลในการทำงานบางอย่างเพราะมีความรู้สึกว่าอยากจะทำงานอะไรบางอย่างค้นคว้าอะไรบางอย่างกับตัวเอง อย่างน้อยก็ในช่วงนี้" ครับ...ผมรู้สึกว่าผมอยากค้นคว้า ทดลองในเรื่องของจิตวิญญาณภายในอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการงานชีวิต อย่างที่ไม่ต้องรีบร้อน แน่นอนว่ามันมีความหมิ่นเหม่ผุดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เพราะความคาดหวังทางสังคมต่างก็มุ่งไปที่งานประจำและเงินเดือน เพื่อจะได้สร้างภาพของความมั่นคงให้กับตัวตนของเรา คิดถึงเรื่องงานประจำทีไร ผมก็นึกเสียดายสิ่งที่เราอุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา คิดถึงอิสรภาพทางจิตวิญญาณของการมีชีวิตอยู่ในแต่วันของเรา ดูเหมือนจะต้องถูกจำกัดไปกับกรอบและบรรทัดฐานของสถาบันที่โดยส่วนตัวไม่ได้มีความศรัทธาอะไรทั้งสิ้น

ดีใจมากที่ตัดสินใจออกไปเจออาใหญ่ กับพี่ณัฐที่สยามพารากอนเมื่อสองวันก่อน และได้มีโอกาสเจอคุณสมพลกับภรรยาเป็นครั้งแรกด้วย แม้วันนั้นจะค่อนข้างเหนื่อยเพราะคืนก่อนได้นอนไม่กี่ชั่วโมง แต่เหมือนผมได้ไปรับอาหารทางจิตวิญญาณ เป็นกำลังใจที่มีค่าจากกัลยาณมิตรสองคนที่ผมรักและนับถืออย่างสุดหัวใจ พี่ณัฐบอกผมว่า น่าแปลกที่เราสองคนก็ไม่ได้เจอกันบ่อย แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ดูเหมือนเราจะมีความสนิทแนบแน่นกันมากขึ้นอย่างประหลาด ผมเห็นด้วยมาก และรู้สึกเช่นนั้นกับอาใหญ่ด้วย แรกๆผมรู้สึกยำเกรงอาใหญ่ รู้สึกว่าอาใหญ่เป็นคนหนักๆ คิดเยอะ แต่ครั้งนี้รู้สึกได้ถึงหัวใจที่อ่อนโยน ผมประทับใจกับความห่วงใยและปรารถนาดีจากแววตาที่อาใหญ่มีต่อผมตลอดการพูดคุยกัน โดยเฉพาะคำแนะนำที่อาใหญ่บอกผมว่า "หากเป็นไปได้ อย่ารับงานประจำในช่วงปีแรกนี้" ....อยากบอกว่าโดนมาก โดนจริงๆ เพราะตั้งแต่กลับมามีแต่คนบอกให้ไปรับงานที่โน่นที่นี่ แต่ไม่เคยมีใครแนะนำให้อย่าไปรับงานประจำ...

หลายวันที่ผ่านมา ผมได้มี inner dialogue กับตัวเองอยู่ตลอด ได้ให้เวลากับตัวเองได้ผ่อนพัก ได้จัดห้องปฏิบัติที่บ้านและเริ่มการฝึกประจำวัน เสียงกันถะ (ระฆังมือ) และดามารุ (กลองมือ) ฟังดูแปลกหูกับบรรยากาศรอบตัวที่เมืองไทย แต่ทุกครั้งที่ได้ฝึก ผมจะคิดถึงอาจารย์ของผมเสมอ คิดถึงท่านตรุงปะ และธรรมาจารย์ในสายธรรมทั้งหลาย รู้สึกได้ว่าท่านเหล่านั้นอยู่รอบๆคอยประคับประคองเราอย่างใกล้ชิด รู้สึกภูมิใจในความเปราะบางของตัวเองตอนนี้ อย่างที่เรียกว่าเป็น Vajra Pride เป็นความทนงในความไร้ตัวตน ขณะเดียวกันก็พร้อมกับบทเรียนต่างๆที่รออยู่ข้างหน้าและพร้อมที่จะก้าวเดินไปอย่างช้าๆ

27.8.07

i am home?



I've finally arrived Bangkok, Thailand safely after spending almost two weeks in Japan. It has been the first difficult four days so far with a lot of adjustment on my part. As you know, living in Bangkok doesn't seem to be a very pleasant lifestyle, definitely not as much as that in Boulder or Crestone, Colorado. The weather is hot and humid; the traffic is horrible; pollution is everywhere, etc. I have been doing my best to hold my vajra seat in the midst of this important re-entering process. I have already set up my shrine and have begun to do my daily practice. That seems to be the only thing that helps.

The sound of ghanta and damura seem quite strange in Thailand, but at least they have been sounded on this land already.