13.9.06

ตายบนหลังม้า...

วันนี้มีเพื่อนใหม่คนนึงถามว่ามาอยู่อเมริกานานแล้ว คิดถึงครอบครัวไหม คำถามนี้ทำผมฉุกคิดไปพักใหญ่

...ครอบครัวของเราอยู่ที่ไหนกันแน่นะ?

ผมรู้สึกว่าผมมาเติบโตจริงๆ เมื่อสองปีที่ผ่านมานี่เอง มีเร้จจี้กับเมียเขา (ลี) เป็นเหมือนพ่อกับแม่ มีสหายธรรมในสังฆะเป็นพี่น้อง

ผมคุยกับเร้จจี้กับลีในทุกๆเรื่อง ในใจลึกๆผมรู้สึกเศร้ามาก แปลกดี...พ่อแม่พี่น้องในสายเลือด แม้จะอยู่กับเรามาทั้งชีวิต แต่ในแง่ความรู้สึกกลับเหมือนอยู่กันคนละโลก แต่นี่คนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม รู้จักกันแค่สองปีกลับทำให้ผมรู้สึกราวกับได้ใช้ชีวิตรู้จักกัน เดินทางร่วมกันมาหลายภพชาติ

กลับเมืองไทยปีหน้าผมเหมือนต้องจากพ่อแม่ทางธรรม ไปผจญภัยในดินแดนที่คนส่วนใหญ่คิดว่ารู้จักพุทธศาสนาดีอยู่แล้ว งานเขียนงานแปลที่มีออกมาอย่าคิดว่ามีแต่คนชอบนะครับ คนที่ไม่ชอบก็มีไม่น้อยเลยล่ะ...

เร้จจี้เตือนผมเสมอว่าอย่าคาดหวังอะไรมากกับอนาคต ผมยังต้องลองผิดลองถูกและเรียนรู้อีกมาก เขาเคยพูดทำนองว่า ผมจะต้องไม่กลัวที่จะเผชิญกับอุปสรรค เพราะอุปสรรคจะช่วยทำให้ผมอ่อนน้อมต่อตนเองและผู้อื่นมากขึ้น ขออย่างเดียวอย่าได้ไปสับสนกับอุปสรรคจนหยุดการฝึกฝนตนเอง...

แต่ก็นั่นล่ะครับ ผมว่าคนเราคิดจะทำอะไร ไม่มีทางรู้หรอกว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า การทำอะไรเพื่อความสำเร็จจึงดูจะไม่มีความหมายอะไรมากนัก

ผมว่าจะทำอะไร ทำเพราะว่าเรารักที่จะทำมันดีกว่า ผิดพลาดบ้าง ล้มเหลวบ้างก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ส่วนหากจะตายระหว่างทำก็คงไม่เป็นไรเพราะเรารู้ว่าเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้อยู่แล้ว

ดีเสียอีกที่ไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวไปทำอยากอื่นเพราะกลัวจะทำมันไม่สำเร็จ