6.11.08

จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๑

หายหน้าหายตาไปตลอดเดือนตุลาคม เนื่องด้วยเว้นเวลาไว้ให้กับการภาวนาของตัวเองบ้าง การเข้าฝึกเดี่ยวกับตนเองเช่นนี้ เสมือนเป็นการชำระล้างรากฐานของการเดินทางด้านในให้สะอาดบริสุทธิขึ้น ซึ่งส่วนตัวผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิตวิญญาณ เราไม่อาจเฝ้าบอกตัวเองได้อย่างจริงใจตลอดเวลาว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม หรือ การภาวนาคือการฝึกสติในทุกขณะ หรือ ทุกย่างก้าวคือการเรียนรู้ เพราะคนทำงานลักษณะนี้มีสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง นั่นก็คือ กลไกการหลอกตัวเองที่ซับซ้อนขึ้นของอัตตา ที่สามารถดึงเอาเรื่องทางจิตวิญญาณ มาสนองความต้องการของตัวตนทางจิตวิญญาณ ให้ฟูฟ่องขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ท่านตรุงปะเรียกกลเกมอันนี้ว่า "วัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ" ซึ่งผมมองว่าเป็นคำสอนที่สำคัญมากต่อการสืบต่อสายธารแห่งพุทธธรรมอันบริสุทธิ์ในสังคมไทยเรา

คุณค่าทางจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เส้นทางนี้เป็นเส้นทางแห่งการละ การสละ การให้ การยอมรับ การปล่อยว่าง ในชั้นที่ละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งเราพัฒนาตนเองมากขึ้น กับดักก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นตามไปด้วย คุณค่าทางจิตวิญญาณที่แท้จะปรากฏขึ้นในใจของเราเพียงเท่านั้นท่ามกลางการสุกงอมของกรรมตามเหตุตามปัจจัย หาได้มีกฏเกณฑ์ มาตรฐาน หรือการประเมินจากภายนอก ที่จะบอกเราได้ว่าอะไรคือ เส้นทางการเติบโตทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง อะไรคือสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่ผิด ที่ควรทำหรือไม่ควรทำ และการที่จะเชื่อใจตนเองได้อย่างแท้จริง สามารถยอมรับและจริงใจกับเส้นทางการแสวงหาสัจจะของเราได้อย่างแท้จริง การพัฒนาจิตสำนึกด้านสว่าง จึงต้องเกิดขึ้นไปพร้อมๆกับการยอมรับแนวโน้มในด้านมืด (shadow) ด้วยเสมอ จึงจะทำให้เกิดดุลยภาพของการเดินทางด้านใน ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมการเข้าฝึกเข้มจึงจำเป็นมากสำหรับคนที่ทำงานด้านจิตวิญญาณ

การละ บางครั้งหมายถึงการปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง และบางครั้งหมายถึงการเข้าไปสร้างความสัมพันธ์ บางครั้งหมายถึงการเข้าไปเผชิญและต่อสู้ และบางครั้งอาจหมายถึงการถอย ไม่มีใครจะบอกได้ว่าอะไรคือเส้นทางการละวางตัวตนของคนผู้นั้น แต่สำหรับในสายธรรมที่ถูกถ่ายทอดมาจากท่านตรุงปะ และเร้จจี้ อาจารย์ทั้งสองจะเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการ "เข้าๆออกๆ" เพื่อที่จะไม่ให้มีแม้กระทั่ง "ที่ยืน" ให้กับตัวตนทางจิตวิญญาณ ไม่มีสถานะที่สะดวกสบายให้กับความคาดหวังใดๆ แม้กระทั่งต่อการปฏิบัติธรรมหรือความสำเร็จในชีวิตทางโลก ทุกอย่างถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีขึ้นไม่มีลง ไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีดีกว่าหรือเลวกว่า ทั้งขาวและดำ ทั้งมืดและสว่าง จนเราสามารถไว้วางใจทุกท่วงทำนองของชีวิตด้านใน ดำรงอยู่ในความวิเวก ความโดดเดี่ยว และเสียงด้านในที่เต็มเปี่ยมอย่างไม่อาจถูกสั่นคลอนได้

วัชรยานจึงไม่ได้เป็นแค่อะไรที่ดูโก้เก๋ หรือ เจ๋ง ในแง่ของหลักการที่ตัดผ่านทะลุุทะลวงเพียงเท่านั้น กว่าเราจะสัมผัสประสบการณ์แห่งการ "ไม่เป็นอะไรเลย" พร้อมกับ "เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง" ได้ มันต้องอาศัยหยาดเหงื่อและการอุทิศตนอย่างถึงที่สุด เวลากว่าพันกว่าหมื่นชั่วโมงที่เราหมดไปกับการนั่งเฉยๆ ดำรงอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างไม่หวั่นไหว เวลาที่เราหมดไปกับการเฝ้าตามหลักการ ความคิด ความฝัน ที่ไม่มีวันจะเป็นเนื้อเป็นตัวขึ้นมาได้ กว่าที่เราจะตระหนักถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณที่เรามีอยู่ในใจอย่างเต็มเปี่ยมโดยที่เราไม่จำเป็นต้องออกไปมองหาที่ไหน เราก็ต้องตายแล้วตายอีก ผิดหวังและผิดหวังอีก จนท้ายที่สุดเราจึงเข้าใจ และกลับมาดำรงอยู่ ณ รากฐาน ---- the groundless ground, the wild place ป่าช้าอันเวิ้งว้างแห่งหุบเขาพราวแสง ที่ซึ่งการเดินทางด้านในจะสามารถดำเนินไปได้ด้วยใจที่จริงแท้มั่นคง โดยที่เราไม่ต้องกระเสือกกระสน ดิ้นรน พยายามที่จะเป็นอะไรเลยแม้แต้น้อย

ขอให้เพื่อนๆมีพลังแห่งศรัทธาในตนเองเสมอ

ท่ามกลางการขึ้นๆลงๆของการเดินทาง
วิจักขณ์