17.12.09

จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๒

to my child

be fearless and consume the ocean.
take a sword and slay neurosis.
climb the mountains of dignity and subjugate arrogance.
look up and down and be decent.
when you learn to cry and laugh at the same time, with a gentle heart,
all my belongings are yours,
including your father.


แด่ลูกรัก

ด้วยใจที่ไม่หวั่นไหว จงดื่มกินมหาสมุทร
ไกวดาบ ฟาดฟันความวิปลาสทั้งหลาย
ปีนป่ายขุนเขาแห่งศักดิ์ศรี และกำราบอหังการให้สิ้นซาก
มองไปโดยรอบ ด้วยความอ่อนน้อม
ยามที่เจ้าร้องไห้และหัวเราะได้พร้อมกัน กับหัวใจที่อ่อนโยน
ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพ่อได้เป็นของเจ้าแล้ว
รวมถึงตัวพ่อเองด้วย

โดย เชอเกียม ตรุงปะ
วิจักขณ์ พานิช แปล
______________________________________________

- ข่าวประชาสัมพันธ์ จากมณฑลวัชรปัญญาและบ้านตีโลปะ -
http://www.tilopahouse.com

๑. ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒ ขอเชิญชวนเพื่อนฝูงที่สนใจแลกเปลี่ยนประสบการณ์บนเส้นทาง "การศึกษาด้านใน" ของตนเองร่วมกับ Matt และ Annie สองบัณฑิตจากภาควิชาผู้นำสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนาโรปะ ในโอกาสที่ทั้งสองมาเยือนบ้านตีโลปะ วงสนทนาเริ่มบ่ายสอง พกอาหารและเครื่องดื่มใส่ปิ่นโตมากินข้าวเย็นร่วมกัน แล้วพูดคุยกันต่อถึงสามทุ่ม แจ้งเจ้าบ้านล่วงหน้าที่ refish@tilopahouse.com ไม่งั้นไม่ต้อนรับ

๒. ๒๑-๒๔ มกราคม ๒๕๕๓ ต้อนรับศักราชใหม่ด้วย "PASSION ไฟตัณหา" กับ กัญญา ลิขนสุทธ์ และวิจักขณ์ พานิช เวิร์คช็อปสี่วัน ณ บ้านตีโลปะกับการร่วมกันสืบค้นการดูแลใจ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตแห่งความปรารถนาอันงดงามของความเป็นมนุษย์ ค้นพบแรงบันดาลใจแห่งการมีชีวิตอยู่ กระเทาะเปลือกแห่งสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น สู่ความเป็นตัวของตัวเองที่จริงแท้ เต็มเปี่ยมและทรงพลัง สมัครเข้าร่วมกิจกรรมท่านละ ๓๐๐๐ บาท รับจำนวนจำกัดเพียง ๑๕ ท่านที่ refish@tilopahouse.com

๓. ๑๖-๒๑ กุมภาพันธ์ ดุ่มเดินบนหนทาง กับอ.ประมวล เพ็งจันทร์ และวิจักขณ์ พานิช ใน "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ปฏิบัติภาวนา จาริก สนทนาธรรม และปลีกวิเวก บนวิถีอันง่ายงามท่ามกลางแมกไม้ สายน้ำ และขุนเขา สนใจติดต่อ เสมสิกขาลัย semsikkha_ram@yahoo.com

๔. อ่านบทสัมภาษณ์ Heart is a Lonely Wanderer โดยพี่หมี ในนิตยสาร IMAGE ฉบับธันวาคม ๒๕๕๒

๕. อ่านบทสัมภาษณ์อีกชิ้น โดยฮุ้ง ในนิตยสาร Secret คอลัมน์ Live&Learn ฉบับมกราคม ๒๕๕๓

5.12.09

จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒

วิจักขณ์ พานิช: สังคมในตอนนี้หันมาตื่นเต้นกับการภาวนามาก เพราะคนมีความทุกข์มาก ความทุกข์คืออะไร การให้ความหมายอันหนึ่งที่ผมชอบก็คือ ความทุกข์คือการตัดขาด ความทุกข์เกิดเพราะเราตัดขาดจากความสัมพันธ์เชื่อมโยง เมื่อเราไม่เข้าใจว่าเราทุกข์เพราะเราตัดขาดจากตัวเอง คนอื่น ธรรมชาติ และความเป็นจริง เราก็พยายามหาบางสิ่งเข้ามาทดแทนซึ่งก็คือความสุข แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เรายิ่งหาทางเบี่ยง หาทางลัดไปสู่ความสุข โดยไม่ได้กลับมาอ่อนโยนกับตัวเอง สัมพันธ์กับตัวเอง ผู้คน ธรรมชาติ เรามัวสนใจแต่ผลลัพธ์จนหลายครั้งที่เราพยายาม ไต่ขึ้นไป เราก็ยิ่งหลงลืมว่ามีผืนดิน มีสิ่งรอบตัวที่เราควรน้อมกลับลงมาสัมพันธ์ด้วย

การภาวนาคือการฝึกที่จะอยู่กับตัวเองให้เป็น อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่กับสิ่งแวดล้อม อยู่กับฤดูกาล ความผันแปร ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นอย่างแจ่มชัดและผ่อนคลายกับมันได้ เราก็จะเรียนรู้มันด้วยความละเอียดอ่อน การเข้าคอร์สภาวนาก็คือการจัดสถานที่ หรือสถานการณ์บางอย่างให้เราได้อยู่กับตัวเอง เพราะปกติเราอยู่กับตัวเองไม่ได้ นั่งเฉยๆแค่ ๕ นาทีก็ไม่ได้ คอร์สภาวนาคือการให้กำลังใจว่าเราทุกคนสามารถอยู่กับตัวเองได้ เทคนิควิธีการทั้งหลายที่ครูบาอาจารย์ส่งทอดต่อกันมา ก็คือการปล่อยวางความคิด จนเราสามารถที่จะนิ่งอยู่กับตัวเองได้จริงๆ ความคิดเข้ามากั้นขวางทำให้เรามองไม่เห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า ช่วงแรกของการฝึกเราจะเห็นว่าเรามีความคิด ความกลัว ความคาดหวังเป็นกำแพง การฝึกช่วงแรกๆ จะเต็มไปด้วยความคิด จะทำอย่างไรให้เราปล่อยวางความคิด อยู่กับความเงียบ อยู่กับเสียงต้นไม้ อยู่กับเสียงหัวใจของเราได้

การมาเข้าวิปัสสนา หรือคอร์สอบรมภาวนาต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ จริงๆแล้วมันก็เหมือนโรงพยาบาลโรคจิต เราป่วยและต้องการการบำบัด คอร์สเหล่านี้ทำไว้สำหรับคนเมืองที่ป่วย ซึ่งผมก็ป่วยมาเช่นเดียวกัน เราเต็มไปด้วยความคิด เดินก็ลอยๆ ไม่ค่อยสัมพันธ์กับอะไร นี่คือความป่วยของคนเมืองในโลกสมัยใหม่ที่อยู่ในภาวะตัดขาดอย่างรุนแรง เราจึงมีคอร์สต่างๆ ให้เข้ามากมาย ซึ่งผมหวังว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะไม่ต้องเข้าคอร์สเหล่านี้อีกต่อไป เราสามารถเริ่มที่จะกลับมาปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เรียนรู้จากชีวิตจริง ธรรมชาติ สัมพันธ์กับผืนดินและผู้คน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ในชีวิตจริงๆ ทำให้ชีวิตมีความหมาย มีพลัง เราต้องมองให้ออกว่าการฝึกภาวนาของเรา เราทำอะไรอยู่ ชีวิตมันเป็นเป้าหมายของมันเอง ไม่ใช่เราจะมาเอาดีทางการภาวนา แต่การภาวนาคือชีวิต คือประสบการณ์ในชีวิต ทุกความทุกข์ ทุกความสุข ถ้าเรามีพื้นฐานของการฝึกใจที่ดี ใจเราจะเปิด และมันจะเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตของเรา

โจน จันได: การภาวนาคือการเป็นปกติ ถ้าเราพูดเสียงดังก็พูดเสียงดัง ไม่ต้องทำอะไรให้มันวิจิตรพิสดาร ถ้าเราฝึกที่จะยืน เดิน นั่ง นอน จับนั้นนี่ ไป ไม่ได้คิดอะไร ก็จะเกิดความไม่ประมาททางจิต เรารู้สึกได้ว่าเราทำอะไรอยู่ เป็นชีวิตปกติประจำวัน เหยียบดินถ้าเราเหยียบอะไรที่มันแข็งเราก็หยุด มันเป็นความปกติของการมีชิวิตอยู่ แต่ก่อนผมก็เคยคิดว่าการภาวนาคือการนั่งเพื่อฝึกใจให้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ เห็นชาติที่แล้ว ชาติหน้า เห็นหวย เห็นเลข สัมผัสกับญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว มันกลายเป็นเรื่องที่ไกลจากตัวเอง บางครั้งก็เพลิดเพลินกับการนิ่งเหมือนจมลึกไปสู่สิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด หรือลอยไปไกล เมื่อก่อนผมติดที่จะนั่งแบบนั้น แต่มันก็อยู่แค่นั้น ไม่ได้ไปไหน เพราะเราติดกับความรู้สึกวูบวาบ กลายเป็นการภาวนาทำให้เราเสียเวลาไปอย่างน่าเสียดาย

การภาวนาคือการเข้าใจการทำงานของใจตัวเองว่า เช่น ทำไมเราต้องโกรธเวลาใครพูดไม่เข้าหู ทำไมเราต้องเสียดายเวลาอะไรพรากจากเราไป เป็นการพิจารณาสืบค้นไปเรื่อยๆ ทำให้เราเห็นอะไรที่มากขึ้น จนคลี่คลายปัญหาในชีวิตได้ แต่ก่อนที่จะพิจารณาสืบค้น เราก็ต้องมีใจที่นิ่งเสียก่อน นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการภาวนา เมื่อเรานิ่งแล้วก็ใช้การพิจารณาสืบค้นปัญหาในชีวิตของเรา ผมมักพิจารณาสืบค้นกายของตัวเอง ดูว่าอะไรคือตัวเรา ผมเห็นแต่การไหลของธาตุต่างๆ ในรูปของอากาศ น้ำ อาหาร แล้วมันก็ไหลออกไป แต่เราอาจเห็นว่ามันช้ามากจนเราเข้าใจว่านี่คือตัวของเรา แต่ถ้าเรามองให้ไกลออกไป เห็นเหมือนชีวิตของผีเสื้อ จะเห็นว่าชีวิตคนเรามันไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณากายบ่อยๆ ก็เห็นว่า นี่ไม่ใช่ตัวผมนะ นี่เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของตัวผมเท่านั้นเอง ตัวผมคือพื้นดิน คือน้ำ คืออากาศด้วย มันเชื่อมโยงไหลเวียนตลอดเวลา การเข้าใจว่าตัวผมมีแค่นี้ คือการเข้าใจผิดมากๆ เพราะตัวนี้จะอยู่ไม่ได้เลยถ้าตัดขาดจากพื้นดิน อากาศ พืช สัตว์ มันอยู่ไม่ได้ ฉะนั้นตัวทั้งหมดคือตัวเดียวกัน ความรู้สึกอย่างนี้ได้ทำให้ใจเราไม่กลัว หรือกังวลกับการมีชีวิตอยู่ เพราะทั้งหมดคือตัวเรา ทำให้ใจเรากว้างมากขึ้น เพราะตัวเรานี้คือส่วนที่เล็กที่สุดของตัวเราเท่านั้น เราต้องดูแลตัวเราทั้งหมด โลก ต้นไม้ อากาศ

เมื่อเราเห็นความปกติของชีวิต เราก็จะไม่กลัว ใช้ชีวิตไปแบบนี้ เราใช้ชีวิตที่ไม่ทำร้ายตัวเองก็คือการไม่ทำร้ายสิ่งต่างๆ การภาวนาสำหรับผมคือการนั่งนิ่งๆ ไม่ปล่อยให้ความกลัว ความกังวล อดีตหรืออนาคตมารบกวนเรามากเกินไป ในช่วงที่สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่รบกวนเรา เราก็จะพบความนิ่ง ด้วยความนิ่งเราก็นำมาพิจารณาสืบค้น มันจะทำให้เราเห็นอะไรที่ชัด ลึก มากขึ้น

ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่ทำให้มันเบา สบาย ง่าย ผมก็ฝึกอย่างนี้มาเรื่อยๆ

วิจักขณ์ พานิช: สิ่งที่เรามาฝึกกับพี่โจคือการพึ่งตัวเองทางปัจจัย ๔ ส่วนการภาวนาก็คือการกลับมาพึ่งตัวเองทางจิตวิญญาณ หลายสิ่งหลายอย่างในระบบสังคมทุกวันนี้พยายามดึงเราให้เป็นทาส แม้แต่เรื่องทางจิตวิญญาณก็เหมือนกัน ที่มักหาวิธีที่จะเล่นกับความกลัว ความอยาก ความขาดพร่องของคน คนที่ฝึกภาวนาไม่ใช่ฝึกเพื่อให้คลั่งไคล้ครู คลั่งไคล้ศาสนา คลั่งไคล้ธรรมะ แต่เป็นการค่อยๆ ปลดความจริงในตัวเรา ค่อยๆเป็นอิสระจากการพึ่งพิงสิ่งต่างๆจากภายนอก ภาวนาที่แท้จริงคือการพึ่งตัวเอง การกลับมาเชื่อในศักยภาพของตัวเอง การปฏิบัติทางจิตวิญญาณไม่ควรทำให้เราอ่อนเปลี้ย กลัวยิ่งขึ้น ต้องเร่งตัวเองมากขึ้น หรือต้องถีบตัวเองให้สูงขึ้น นั่นดูจะไม่ใช่คุณค่าทางจิตวิญญาณ แต่เป็นการเล่นกับความกลัวเสียมากกว่า

โจน จันได: คำว่า “อัตตาหิ อัตโนนาโถ” เป็นคำทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่คำทางโลกที่เราเข้าใจว่าการพึ่งตัวเอง ไม่พึ่งพิงคนอื่น แต่มันหมายความว่า การที่เราจะต้องเข้าใจด้วยตัวเอง ไม่มีใครที่จะพึ่งพิงได้ ตัวเราต้องทำด้วยตัวของเราเอง

เมื่อก่อนผมก็วิ่งตามอาจารย์ คิดว่าอาจารย์จะช่วยเราได้ หนังสือเล่มไหนว่าดี ก็ต้องอ่าน คิดว่าจะช่วยได้ แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่แผนที่ที่ช่วยบอกเราว่าถ้าจะไปทางนั้น จะต้องเจอสิ่งนั้น สิ่งนี้ ฉะนั้นการที่จะเข้าใจความจริงของการมีชีวิตอยู่เราต้องเดินไปเอง การอ่านมากๆ ก็แค่เป็นเพียงคนที่รวบรวมแผนที่ เข้าหาอาจารย์ทุกอาจารย์ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะมัวแต่ชื่นชมอาจารย์ นี้คือกำแพงที่ใหญ่มากสำหรับผมเองในอดีต แต่เมื่อลงมือทำมันไม่สูตร ไม่มีตำรา รูปแบบทั้งหมดถูก สำหรับคนบางคน รูปแบบทั้งหมดผิดสำหรับคนบางคน แล้วแต่จริตของใครเท่านั้นเอง เพราะว่าความจริงไม่มีศาสนาหรือลัทธิ แต่เป็นสิ่งสากลของการเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ในหลายๆอาจารย์มีทั้งจริงและปลอมทำให้เราสับสนมากขึ้น แต่เรื่องจิตใจควรเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ซับซ้อน

ผมอาจจะหลงทางก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าชีวิตผมเบา สบายยิ่งขึ้น แค่นี้ก็พอ เพราะผมไม่ได้คิดถึงสวรรค์ นิพพาน การบรรลุ มันแค่แสวงหาความง่ายให้ชีวิต

(จากงานอบรม "จิตวิญญาณแห่งผืนดิน" ณ สวนพันพรรณ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่)

ขอบคุณนิ้งที่ช่วยถอดเทปออกมาอย่างด่วนจี๋

ของฝากจากผืนดิน

สำหรับเพื่อนๆที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่บ้านตีโลปะ เช่นในโอกาส "ชีวิตคือความรุนแรง" หรือ "เมล็ดพันธุ์ภาวนา" ที่จะมาถึงเร็วๆนี้ และอยากหนีบอะไรมาฝาก ขอแนะนำสิ่งต่างๆต่อไปนี้: ต้นไม้ที่รอการแยกเหล่าแยกกอ (โดยเฉพาะไม้ใบและไม้แขวน) ดินดีแถวบ้าน ฟาง ขี้ไก่ หินหรืออิฐจัดสวน เศษใบไม้แห้ง ปลา (หางนกยูง ปลาทอง) และวัสดุอุปกรณ์สำหรับจัดสวนที่มีเหลือใช้แบบไม่ต้องซื้อหาทุกชนิด