23.5.05

ผู้ปฏิบัติธรรมในที่อโคจร

คิดแล้วก็ตลกดี เพราะยิ่งก้าวหน้าในธรรมมากเท่าไร ปฏิบัติอย่างเข้มข้นหนักหน่วงมากเท่าไหร่ ผมก็ดูจะมีแนวคิดอะไรประหลาดๆมากขึ้นเท่านั้น มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่ได้ทำตามใคร หรือ พยายามเป็นเหมือนใคร ไม่ได้อยากจะสร้างภาพความเป็นคนดี สงบเสงี่ยม ธรรมะธัมโม ผมก็แค่อยากจะสามารถเรียนรู้จากผู้คน และสื่อสารในสิ่งที่ผมค้นพบกับเขาได้ แต่ผมก็รู้ดีว่า วันหนึ่งผมต้องการพื้นที่ ในการให้ผู้คนได้เข้ามาเรียนรู้ในระดับที่ลึกขึ้น แต่ในตอนนี้ผมรู้สึกเพียงแค่ว่า ผมพร้อมจะเป็นเพื่อนกับทุกคน ให้ทุกคนเห็นว่าแท้จริงแล้ว การปฏิบัติธรรม การเข้าใจธรรม เกิดขึ้นได้กับคนทุกคนจริงๆ

วันนี้ไปดูละครถาปัดเป็นครั้งแรกในชีวิต จริงๆก็ไม่ได้คิดจะไปดูอะไร แต่มีเพื่อนคนนึงเลิกกะแฟน ก็เลยมีบัตรเหลือเลยมาชวนผมไปดู คนไปดูแน่นมาก ส่วนละครก็สนุกดี ขำไปเรื่อย บางทีก็ต้องพยายามขำนิดหน่อย ดูละครเสร็จ ก็กินข้าว แล้วก็เลยขอให้เพื่อนพาไปดูที่เที่ยวกลางคืนสมัยนี้ อยากดูว่าโลกมันเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว จำได้ว่าไปเที่ยวแบบนี้ครั้งสุดท้ายก็ตอนอยู่ปีสองโน่น เป้าหมายอยู่ที่ซอยทองหล่อ ที่เขาว่ากันว่าเดี๋ยวนี้กลายเป็นสวรรค์นักเที่ยวแห่งใหม่ ที่ไปคราวนี้คือ ผับชื่อ Escudo

รู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นคนเยอะแยะในผับ เพลงดัง ควันบุหรี่คลุ้ง คนเต้น เบียดเสียด ทุกสายตาจ้องมองกันบ่งบอกถึงนัยที่เป็นที่รู้กัน ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเลย รู้สึกแต่เพียงว่า กว่าเราจะสามารถกลับมาสู่สภาวะแบบนี้ได้ จิตเราคงต้องอาศัยการฝึกฝน และแข็งแกร่ง ก่อนที่เราจะengage กับสถานที่อโคจรเช่นนี้ ความก้าวหน้าของการปฏิบัติก็ควรจะชัดแจ้งต่อใจเรา เป็นการฝึกความจริงใจต่อตนเองอย่างเต็มที่ในทุกสถานการณ์ เมื่อวันนั้นมาถึงผมคงสามารถจะห่วงใยเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างไม่จำเป็นต้องไปตัดสินว่าเขาดีหรือเลว โง่หรือฉลาด เพราะคนที่หลงอยู่ในความมัวเมาเหล่านั้น ต่างก็มีความสับสน ค้นหาลึกๆ ผมรู้อย่างเดียวว่าผมอยากช่วยเขา ด้วยการเรียนรู้โลกของเขา อยากเห็นเขาสามารถมองอะไรได้ชัดเจน และตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตตามเสียงด้านใน และการตั้งคำถามต่อเสียงภายนอกที่กรอกหูเขาอยู่ตลอดเวลา

ผมเชื่อเหลือเกินว่ามีโพธิสัตว์มากมายที่ใช้ชีวิตเกลือกกลั้วกับทะเลแห่งความทุกข์ เพื่อช่วยเหลือเรียนรู้สรรพสัตว์ ก็เมื่อเป้าหมายคือกระบวนการ การฝึกฝนภายในก็เพื่ออุทิศในการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมิใช่หรือ...เราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าภาพลักษณ์ของเราจะดีหรือไม่อย่างไร เมื่อเรารู้ตนเป็นอย่างดี ว่าช่วงเวลา ณ ขณะนี้เราทำสิ่งใดอยู่ และหากลองแล้วเรายังไม่พร้อม ก็ต้องรู้ตัว เพราะก่อนที่จะสามารถ engage กับโลกแห่งความทุกข์ได้ เราต้องสามารถแยกตัวเองออกมาจากมันให้ได้เสียก่อน เพื่อจะได้มองเห็นและเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนเป็นขั้นแรก



พ่อกับลูกชาย




พ่อเป็นครูคนสำคัญของผม เพราะท่านเป็นคนที่แสดงให้ผมเห็นอะไรหลายอย่างของชีวิตคนๆหนึ่ง ก่อให้เกิดการตั้งคำถามมากมายว่าผมอยากใช้ชีวิตตามอย่างท่านหรือไม่ น่าแปลกว่าผมตั้งคำถามมากมายแต่ผมก็ยังรักท่าน และชื่นชมท่าน ไม่ใช่ในแบบที่คนอื่นเขามอง แต่ในฐานะบุคคลคนหนึ่งที่ยังรักการเรียนรู้ บุคคลที่ผมเห็นถึงความขึ้นๆลงๆสับสนค้นหาแบบมนุษย์เดินดินธรรมดาทั่วไป ลึกๆผมยังสัมผัสได้ว่าท่านมีคำถามที่ท่านยังต้องการคำตอบเช่นเดียวกัน เพียงแต่ท่านยังไม่สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดที่ท่านมี จะเรียกได้ว่า habitual patterns ทางความคิด ก็อาจจะเป็นไปได้

ที่ผมเขียนอยู่นี้ไม่ได้เขียนวิจารณ์ท่านในฐานะตัวบุคคล ผมรู้สึกว่าผม reflect ตามสิ่งที่ผมได้สัมผัส แต่ขณะเดียวกันผมยังพร้อมจะเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวท่านเสมอ การที่คนเราจะjudge คนๆหนึ่ง ว่าถูกหรือผิด โง่หรือฉลาดนั้นคงไม่แฟร์นัก ผมไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น เพราะเวลาผมคุยกับใคร ผมเลือกที่จะสัมผัสคนๆนั้น ด้วยพลังที่เค้าสื่อถึงผมมากกว่า และความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละครั้งที่เราได้เจอกัน แม้จะไม่พบบ่อยนักในบุคคลทั่วไป ที่มั่นใจในตัวตนที่เขาเป็น

เวลาคุยกับพ่อ เราเหมือนจะคุยเรื่องเดียวกัน เพราะเรื่องที่พ่อรู้ ผมก็รู้ อาจจะจากการอ่าน หรือการได้แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ องค์กร การจัดการความรู้ สุนทรียสนทนา การสร้างพื้นที่การเรียนรู้ การศึกษา และฯลฯ แต่แล้วผมก็ได้ตระหนักว่า แม้เราจะดูเหมือนคุยเรื่องเดียวกัน แต่มองให้ลึกแล้วเรากลับคุยกันคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง เช่น เราคุยกันเรื่ององค์กรการเรียนรู้ ท่านก็จะคุยเรื่องความสำเร็จและเป้าหมายขององค์กร เป็นเรื่องหลัก แต่ผมกลับชวนคุยเรื่องการเติบโตเรียนรู้ของปัจเจก กระบวนการ และความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งของคนในองค์กร เราคุยกันเรื่องสุนทรียสนทนา ท่านคุยเรื่องเป้าหมายของประเด็นที่คุยกัน ผลที่ได้ บทสรุป แต่ผมก็ชวนคุยเรื่องการเปิดใจ การเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด การท้าทายตนเอง การเรียนรู้ของแต่ละคนที่เข้ามีส่วนร่วม...

ทำให้ผมเข้าใจว่า แม้ท่านจะทำงาน มีการเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น แต่ท่านก็ยังเป็นคุณพ่อที่ผมเคยรู้จักไม่เปลี่ยนแปลง มีความสำเร็จ แนวคิด หลักการและเป้าหมายเป็นตัวตั้ง โดยที่ให้ความสำคัญน้อยมากกับรายละเอียดเล็กๆของกระบวนการ ของสายสัมพันธ์ ของอารมณ์ความรู้สึก สำหรับผมที่อยู่ใกล้ชิดท่านมาทั้งชีวิต ได้เห็นในจุดนั้น และเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์จะก่อตัวขึ้นได้ก็ด้วยสิ่งเล็กๆเหล่านั้น เพราะเราเป็นมนุษย์ ที่มีศักยภาพในการมองด้านใน เห็นตัวเอง เนื่องจากพ่อมีelement ในเรื่องนี้น้อยมาก คือท่านแทบจะไม่มีกระบวนการมองด้านในตัวเองเลย ผมจึงได้เรียนรู้เรื่องนี้มากอย่างไม่รู้ตัว

ผมยังแอบฝันลึกๆ ว่าวันหนึ่งคุณพ่อคงจะเริ่มตั้งคำถามกับความเป็นท่านมากขึ้น เริ่มมีความใคร่รู้ในการปฏิบัติ ท้าทายตัวตนของตัวเอง จนกระทั่งสามารถเข้าสู่ความไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งความไม่เป็นอะไรเลย หรือไม่ทำอะไรเลยนี่แหละ ที่เป็นบ่อเกิดแก่การเป็นทุกสิ่ง การทำได้ทุกสิ่ง ตามแต่เสียงข้างในจะบอกเรา เป็นการก้าวข้ามพ้นความกลัว และสามารถที่จะเข้าถึงหัวใจของผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์ไปในขณะเดียวกัน แม้ผมจะเป็นคนตรงไปตรงมา และกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ท่านอาจจะไม่ชอบฟัง ผมก็ยังรักท่าน พร้อมเสมอที่จะพูดคุยกับท่าน เพราะผมก็เป็นเพียงเด็กน้อยธรรมดาๆที่ไม่มียศฐา บรรดาศักดิ์ใดๆให้ต้องรักษา เราจึงมีอิสรภาพในการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างที่ไม่ต้องพะวงอะไรมากนัก ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะท่านได้มอบโอกาสนั้นให้ผมได้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆนั่นเอง


...ก็ขอเป็นแค่ลูกไม้ หล่นให้ไกลๆต้น

เพื่อสัมผัสโลกได้อย่างเต็มที่ ค้นพบตัวเอง เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ ให้ความร่มเงาแก่สรรพสิ่งได้เต็มตามศักยภาพที่เรามี...

18.5.05

inner voice...

If you think you know me,...
I think your life is getting into a very big trouble.

I always feel that you have too much imagination
that is not really related to the present.
You always think you know how to relate to other people,
but that's not true, either.

your thinking might be true temporily, but in the long run,
it could be a very big obstable to really 'learn'
who those people really are.
It actually reflects back that you've hardly learned about yourself.



The learning process needs a lot of time....perhaps your whole life.
So, please stop thinking...
i know it's hard because you always do things all the time.
But please try a bit more....

to just experience what you are... moment by moment
...with all the unknown..the unpredictable.

Nothing is actually worth thinking, but everything is worth experiencing.
Every relationship is too unique to compare.

Listen...
I am telling you something...
listen and don't let anyone confuse you..

The words cannot express what I want to tell you at all. On these days, while talking to you, I feel that often. The more I talk, the more you misunderstand what I want to express to you. But I will be patient. I will do my best in order to help you along this lonely journey. However, my concern is that you have to make your first step by yourself; otherwise, everything will definitely be as you already predict from what you think.

Please do not intepret profound teachings such as 'let everything go', 'relate to yourself', 'know who you are' ...from your thinking.

But, keep them close to your heart.
Don't intepret them right now.
One day it will reveal itself to you.
One day you will experience
..and finally embody their true meanings.

Be alone...keep going...
you...the lonely warrior.

งานแปล

งานแปลเป็นสิ่งที่น่าสนใจและท้าทาย เพราะผมมองว่ามันเป็นการฝึกให้เราชัดเจนในความหมายที่เป็นของเราเอง ผมไม่ชอบแปลอะไรตามแบบแผน แต่เวลาแปลก็มักจะคิดวิธีการสื่อในภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง กลับมาเมืองไทยคราวนี้ เห็นความเติบโตของธุรกิจงานแปลเด่นชัดขึ้นมาก หนังสือดังๆของฝรั่งถูกแปลออกมา แล้วคนไทยก็อุดหนุนกันมาก พิมพ์กันเป็นสิบๆหน ขายได้หลายหมื่นเล่ม โดยเฉพาะพวกหนังสือนิยายอ่านง่าย ที่เกิดตามกระแสอ่านแฮรี่ พอตเตอร์ในบ้านเรา แต่ขณะเดียวกัน หนังสือที่อ่านแยก เพราะให้แนวคิดที่ต่างออกไปจากกระแสการเอนเตอร์เทนสังคม ที่บ้านเราถนัดนัก ก็ดูจะยังไม่เฟื่องนัก แต่ก็ยังดีที่สำนักพิมพ์อย่างคบไฟ สวนเงินมีมา และอื่นๆ ยังพอเลี้ยงตนอยู่ได้ ไม่มลายหายไปแต่ยังเยาว์ โดยเฉพาะสวนเงินมีมา ตอนนี้มีงานดีๆออกมาเยอะเหลือเกิน

ผมได้แวะเข้าไปที่สำนักพิมพ์เพื่อพูดคุยเรื่องงานแปลที่คิดจะทำให้เสร็จภายในต้นปีหน้า ทันเปิดตัวในช่วงที่อาจารย์เรย์ของผมจะมาเมืองไทย จึงได้มีโอกาสไปร้านหนังสือศึกษิตสยามเป็นครั้งแรกหลังจากที่มีแต่ความอยากมาอยู่เป็นชาติ (เขาถึงบอกว่าจะทำอะไร อย่าอยาก ให้ทำเลย อิสรภาพมีอยู่ตลอดเวลาตรงหน้า)

เกริ่นมาเสียนาน เข้าประเด็นที่จะเขียนเสียที คือ จากการสำรวจแผงหนังสือแปล ก็ทำให้ได้รู้ว่า มีหนังสือดีๆ ที่ผมเคยคิดอยากให้คนไทยได้อ่าน แปลเป็นภาษาไทยแล้วเยอะมาก หนังสือของท่านนัท ฮันห์ และท่านตรุงปะ อีกทั้งตำราทางทิเบตและวัชรยานอื่นๆ อาทิโพธิจรรยาวตารของศานติเทวา บทนำสู่ตันตระโดย ลามะเยเช หรือ ประวัติของท่านมิลาเรปะ และอื่นๆ รู้สึกตื่นเต้นที่เห็นหนังสือเหล่านี้ แต่พอพลิกๆดู กลับค่อนข้างผิดหวัง เพราะการแปลของนักแปลไทย ยังมีกลิ่นอายของเถรวาทอยู่มาก ถึงมากเกินเหตุ ทำให้อ่านยากจนถึงไม่อยากอ่านเพราะอ่านไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษนั้นใช้คำที่ง่ายมาก แทบไม่มีความแตกต่างระหว่างหนังสือธรรมะกับหนังสือทั่วไป ผมขอยกตัวอย่าง...

คำว่า Five Buddha Families คุณพจนา ใช้คำไทยว่า ปัญจพุทธวงค์ ผมว่านี่มันเกินไปนิด มันกลายเป็นอ่านตำราวรรณคดีหรือประวัติศาสตร์ศาสนาไป ผมมองเห็นว่าการศึกษาธรรมะร่วมสมัยจะต้องมีการทอนความหมายลงให้เข้าใจได้ในชีวิตประจำวัน เป็นศัพท์ที่คนร่วมสมัยเข้าใจได้ไม่ยาก หากจะใช้คำยากก็ควรมีอรรถาธิบายให้ดูรื่น มากกว่าการคำนึงถึงความงามของคำจนไม่สนใจว่าใครจะอ่าน คำนี้ผมคุยกับอาจารย์สุลักษณ์ ท่านใช้คำว่าพุทธกุลละ ตัดปัญจ ออกไปแล้วใช้กุล ที่ดูง่ายกว่า ซึ่งตัวผมเองที่ก็ว่าจะเขียนบทความเรื่องนี้อยู่ ที่แม้จะชอบคำนี้ของอาจารย์ส. แต่ก็ยังอยากใช้อรรถาธิบายแบบง่ายๆ ให้เห็นว่าจริงๆมันก็คือ พลังงานของจิตห้าสี มากกว่าอะไรที่ดูยากจะเข้าใจ

ผมยังอยากเห็นการแปลทางวัชรยานและทิเบต โดยเฉพาะงานของท่านตรุงปะ อ่านง่านและเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าพุทธศาสน์ เพราะเท่าที่ผมศึกษางานของท่านตรุงปะ ท่านอธิบายธรรมะด้วยภาษาของชาวตะวันตก โดยแทบจะไม่ใช้ภาษาวิลิศมาหรา หรือตะวันออกเลยแม้แต่น้อย

16.5.05

อยากบ้า...

ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ตอนที่ผมเคยเรียนเก่งมากๆ สอบได้ที่หนึ่งประจำโดยที่ไม่เคยอ่านหนังสือ ผมคิดเสมอว่า "ทำไมชีวิตกูถึงน่าเบื่ออย่างนี้วะ" ผมรู้สึกว่าสังคมคนเรียนเก่งช่างคับแคบนัก พอเป็นวัยรุ่นคำถามก็ตกค้างมาไม่ยอมสลายไป ยิ่งโตก็ยิ่งดื้อ คำถามเดิมก็ยิ่งเวียนวน

สาเหตุที่ไม่เรียนหมอก็คงเพราะด้วยเหตุนี้ส่วนหนึ่ง พอกันทีสังคมลูกหมอ พอกันทีสังคมเด็กเรียน ผมเลือกเรียนวิศวะเพราะผมอยากบ้า อันนี้เหตุผลหลักเลยจริงๆ แต่พอไปเรียนก็ไม่เห็นมันจะบ้ากันตรงไหน ใครๆก็ไขว่คว้าหาสิ่งที่เขาบอกๆกันมา ผมก็ไม่เอาอีก พอกันที เมื่อไหร่ผมจะเป็นอิสระได้ออกไปเรียนรู้เจอผู้คนได้จริงๆซะที ผมจึงเริ่มทำงานคณะ เริ่มทำค่าย และอะไรอีกนานา...พอบ้าได้ที่ เรียนจบ ก็เอาอีกละ พอกันที และผมก็ไปบวช...

ผมว่าพระพุทธเจ้าก็อาจจะคิดอย่างผม ท่านคงเบื่อคนปกติๆในวังเต็มทน อะไรก็ดูคับแคบไปหมด ท่านคงอยากออกไปเรียนรู้จากผู้คน อยากทำอะไรที่คนเขาไม่ทำกัน อยากเรียนรู้ อยากบ้า ทางเดียวทีจะออกไปจากสังคมวรรณะตอนนั้นได้ ก็มีแต่การออกบวช แล้วท่านก็ไปบวช...

ตอนบวชผมได้เจอผู้คนมากมาย ได้คุยกะเด็กๆใสซื่อบริสุทธิ์ ได้คุยกะป้าแก่ๆที่เข้าวัด ได้คุยกะคนที่ตระหนักถึงความน่าเบื่อหน่ายวนไปวนมาของชีวิต ได้คุยกะหลวงพี่ในวัดทั้งหลายที่ผ่านชีวิตมาโชกโชนกว่าผม ผมจึงได้ตระหนักว่า...พอกันที (เอาอีกและ) กระแสน้ำช่างไหลเชี่ยวนัก แถมวนไปวนมาอีก...

ผมไม่อยากรอจนแก่ถึงค่อยมาตระหนัก...
...รู้เร็วแล้วคนหาว่าบ้า ดีกว่ารู้ช้าแล้วบ้าไปเองจริงๆ

พอผมสึก ผมจึงเริ่มมีความคิดบ้าๆเต็มที่ ทำอะไรที่มีคุณค่าในแบบของเราดีกว่ามั๊ง...ผมได้เจอพี่ณัฐฬส ที่เชียงราย ผมว่าพี่คนนี้แกบ้ามาก ผมถามแกคำถามเดียวที่ตอนนี้คนชอบถามผม และพี่เค้าก็ตอบผมแบบที่ผมตอบคนที่ถามผมในตอนนี้ "เรียนแบบที่พี่เรียนเนี่ย จบมาจะทำงานอะไรพี่" คำตอบนี้ของพี่ณัฐนี่แหละ ที่ทำให้ผมตัดสินใจมาเรียนที่นี่

"เราเรียนเพื่อรู้ว่าเราอยากทำอะไรไง พอเราเรียนจบ เราก็ออกไปทำมันให้สำเร็จ"
...ผมมั่วเอาในแบบของผมว่าพี่แกตอบผมอย่างงี้ (เกือบสามปีมาแล้ว ใครจะไปจำได้วะ)


เมื่อสามสี่อาทิตย์ก่อน ผมได้เดินติดตามอาจารย์สุลักษณ์ไปเรื่อยๆ แกมาพูดที่ Boulder พูดความจริงให้คนเขาเคืองทั่วไปหมด (CLICK Here to read)ยิ่งได้ผ่านอะไรในชีวิตมามาก ผมยิ่งเข้าใจนักรบท่านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ผมพูดได้คำเดียวว่า ผมรักคนๆนี้อย่างสุดหัวใจจริงๆ


อาจารย์สุลักษณ์ไปพบกับเร้จจี้ อาจารย์ผม (Click here to read his interview) เห็นคนที่ผมรักอย่างสุดหัวใจสองคนมานั่งคุยกันอย่างชื่นมื่น ผมก็ดื่มด่ำไปกับภาพนั้นเต็มที่ ก็คนเราพออยู่บนเส้นทางแห่งคุณค่า โดนคำนินทาเย้ยเยาะต่างๆนานา แต่ก็ยังบ้าเดินของกูมาเรื่อยๆ พอเจอกับคนอีกคนที่เดินดุ่มไม่รู้ไม่ชี้ มีเส้นทางอีกเส้นทางของตัวเองก็รู้สึกดียิ่ง เหมือนได้เจอคนที่รู้จักกันมานาน มิตรภาพแน่นแฟ้นแม้นเพียงเจอกันเพียงชั่ววินาทีเดียว ไปกินข้าวกับอาจารย์สุลักษณ์ ได้ไปเจอะกับเหล่าผู้คนที่ทำงานช่วยเหลือผู้คนในพม่าที่ต้องเผชิญกับความทุกข์หนักหนา

ได้เจอกับอิงก้า ผู้มีสามีเป็นเจ้าชายแห่งรัฐฉานผู้ถูกลอบสังหารอย่างโหดร้าย เจ้าหญิงแห่งพม่าจึงต้องระหกระเหินมาใช้ชีวิตสมถะอยู่ในประเทศใหญ่ๆประเทศนี้ แต่ยังมีหัวจิตหัวใจ อุทิศเรี่ยวแรงในการช่วยเหลือคนในบ้านเมืองที่เขารักอย่างไม่กลัวตาย

ผมยังได้เจอกับคุณหมอวิทย์ คุณหมอหน้าเด็กที่ทำงานอยู่ที่จอห์น ฮอปส์กินส์ หมอวิทย์แม้จะโตมาในสังคมฝรั่ง แต่หัวจิตหัวใจของเขายังมีไว้ให้คนทุกยากในแถบชายแดน รู้สึกทึ่งกับความเข้าใจปัญหาอย่างเชื่อมโยงของเขา ที่ตระหนักว่าสุขภาพกับอิสรภาพไม่สามารถแยกจากกันได้ และอิสรภาพของผู้คนคงจะต้องใช้เวลาสร้างกันอีกนาน ในโครงสร้างอันอยุติธรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ผมได้รู้จักกับเอวลิน คุณน้าลูกครึ่งไทยสวิส ที่มีพ่อเป็นคนในยุคสมัยปรีดี เอวลินยังตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เขายังไม่เข้าใจมากนัก กลับไปสู่รากของความเป็นไทยที่เขาขาดหายในวัยเด็ก

เดินไปเดินมาหยิบหนังสือภาษาฝรั่งเขียนโดยอาจารย์คนไทยในมหาวิทยาลัยคอแนล ก็ตะลึงไปกับเนื้อหาและความเข้าใจของการสูญเสียคุณค่าของพุทธศาสนาสายพระป่าในบ้านเรา

ผมจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์กมลา ผู้ให้แรงบันดาลใจกับผมจากการเขียนงานวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของพุทธศาสนา ที่มีผลกระทบต่อสังคมไทยในบ้านเราอย่างน่าเศร้ายิ่งนัก

ผมยังได้รู้จักกับคนหนุ่มสาวที่มีความคิด ความฝันไปในทางเดียวกันอีกมากมาย พี่หลินผู้ทำงานด้านผู้หญิงและเรียนปริญญาเอกอยู่ที่ CIIS พี่หลิ่ง พี่สาวคนเดียวที่นาโรปะผู้รักงานกระบวนการกลุ่ม กับ nonviolent communication กชกร สาวสถาปนิกฮาร์วาร์ด ผู้มากด้วยความสามารถ กับการเริ่มตั้งคำถามต่อการเติบโตด้านในของตนเอง พี่ฎ้ำ พี่สาวผู้แสนดีที่ Berkeley ผู้มีประสบการณ์มากมายกับการทำงานกับผู้ลี้ภัยในชายแดน เจงเคอร์ แม่ชีจากไต้หวัน ผู้รักการเรียนรู้ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไปพร้อมๆกัน ทริสทัน เด็กหนุ่มศิลปินผู้รู้จักความงามของศิลปะที่อยู่เหนือความสำเร็จฉาบฉวย เอริเคอร์ โพธิสัตว์ผู้ซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุด คอยแนะนำชี้แนะให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย อย่างไม่มีใครเสมอเหมือน แม้ทและแอนนี่ สองเพื่อนซี้ ที่แม้จะไม่รู้จะทำไงกับความงี่เง่าของประเทศตัวเอง แต่ก็ยังคิดหาทางเลือกของชีวิต ที่แม้จะยาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ลองเสียเลย ริชาร์ด เพื่อนสูงวัยผู้จิตใจดี ผู้เลือกที่จะอยู่ร่วมชีวิตกับแฟนสาวผู้พิการ สอนให้ผมเข้าใจคุณค่าของความรักที่ไม่มีในตำรา ...ที่ลืมไม่ได้คือ มุทิตาพี่สาวสุดเลิฟ ผู้ละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่าง มาทำงานมูลนิธิมอบทุนเพื่อการศึกษาในชนบท (อย่าลืมไปหาอ่านงานแปลของเธอ "เปลี่ยนรางชีวิต" โดย สนพ. สวนเงินมีมา)

และอีกเก้าลอเก้า...

ที่บ่นมาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการสื่ออะไรทั้งสิ้น ผมบ่นพร่ำของผมไปเรื่อยๆ โปรดอ่านโดยใช้วิจารณญาณวางใจให้ผ่อนคลาย ผมไม่เคยต้องการให้ใครมาทำเหมือนผม ผมไม่เคยคิดว่าตัวผมดีเด่กว่าใครที่ไหน แต่ผมเชื่อว่าคนเราต่างก็มีคำถามเป็นของตน ผมแค่อยากเป็นแรงใจให้เพื่อนๆได้ค้นหาคำตอบ...คำตอบที่อยู่ข้างใน ไม่ต้องไปหาข้างนอกที่ไหนเลย

เอาเป็นว่าสองปีที่มาอยู่ที่นี่ ผมได้เจอผู้คนมากมาย...เป็นความสุขและความงามอย่างที่ผมเคยฝันไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องแลกกับหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ผมเต็มใจจะแลก (เล่าๆไป ไม่รู้สึกฮึกเหิมอะไรเลยจริงๆนะ น้ำตาจะไหลซะมากกว่า)ผมก็ยังเดินต่อไปอย่างที่ไม่รู้ว่า เส้นทางเส้นนี้มันจะไปจบลงที่ไหน แต่ผมดีใจที่ผมได้เรียนรู้และลองทำอะไรของผมไปเรื่อยๆ ตามแต่เสียงข้างในจะพาผมไป ผมรักอาจารย์ผม รักเพื่อนผม และรักทุกคนที่มีหัวใจเดียวกัน ผู้ซึ่งผ่านเข้ามาในชีวิต มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และให้กำลังใจกันเรื่อยไป...

หากถามว่าผมอยากทำอะไร...ผมยังตอบไม่ได้ชัดนัก
รู้แต่ว่าอยากเรียนรู้ อยากเป็นคนดี ที่ไม่ใช่ดีตามคำที่สังคมที่คนอื่นบอกๆกันมาว่าดี
ผมอยากเป็นคนดี ในแบบที่ผมเคารพตัวของผมได้ในทุกวินาทีที่มีชีวิตอยู่
และผมคิดว่า ผมคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว...


...ฟัง jack johnson ชุดใหม่กันแล้วหรือยังครับ


...'better together' นะครับพี่น้อง...



วิจักขณ์
โบลด์เดอร์ โคโลราโด
(จบเทอมสี่ ที่นาโรปะ และกำลังจะกลับบ้าน ไปนั่งเล่นในป่า)