9.12.06

ปลูกต้นกล้า



เมื่อ ๗-๘ ปีก่อนผมจะตื่นเต้นกับการภาวนามาก ชวนคนโน้นคนนี้ให้ทั่วไปหมด ถึงขนาดลากเพื่อน ลากแม่ ลากป้าไปเข้ากรรมฐาน แต่พอเขาไปเข้า บ้างก็ไม่ชอบ บ้างก็ไปเพราะทนเรารบเร้าไม่ไหว บ่อยๆเข้าทำให้ผมได้ตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะไปโฆษณาชวนเชื่อไม่ได้เลย ยิ่ง ๒-๓ ปีที่ผ่านมานี้ ประสบการณ์ที่ลึกขึ้น ก็ทำให้ได้ตระหนักว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่แรงบันดาลใจของแต่ละคนเสียมากกว่า และเราควรให้ความเคารพในเส้นทางชีวิตที่ต่างออกไปของแต่ละบุคคล

การภาวนาไม่ได้เป็นเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่คนไปฝึกมาแล้ว จะออกมาพิมพ์เดียวกันหมด ประมาณว่าพูดช้า เดินช้า เซื่องๆ ติ๋มๆ กระบวนการที่ว่านี้เหมือนเป็นแค่การปลดล็อคศักยภาพด้านในของแต่ละบุคคล ทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้โลกด้วยความตื่นกันมากขึ้น ทำให้เรารู้จักตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบในแบบของเรา อย่างที่ไม่งมงายในสิ่งที่กระแสสังคมหรือคนรอบข้างพร่ำบอก

เพื่อนมากมายเรียนอยู่ที่อเมริกา แต่ผมกลับไม่ได้ชวนใครให้มาภาวนากับผม นอกเสียจากคนที่ถาม หรือมีความสนใจ หลังๆเลยกลายเป็นคิดไปเองว่า อย่าชวนเลย คงไม่มีใครสนใจ...

แต่เมื่อคืน กลับมีรุ่นน้องคนนึงที่ทำกิจกรรมด้วยกันที่จุฬาฯ แวะเข้ามาทักทายใน msn เขาบอกว่าอ่านสิ่งที่ผมเขียนแล้วทำให้เขามีกำลังใจในการคิดถึงสิ่งดีๆนอกเหนือจากปริญญาโทที่เขาทำอยู่ที่นี่ ผมก็เลยบอกเขาว่าถ้าว่างๆ มามีประสบการณ์ตรงก็ดี เพราะสิ่งที่ผมเขียนก็เขียนไปงั้นๆแหละ มั่วๆงงๆไปเรื่อยๆ เพราะคนเขียนก็ใช่ว่าจะไม่สับสนซะเมื่อไหร่ (ฮา)

เลยกลายเป็นว่าน้องเขาสนใจมาก และจะสมัครมาเข้าภาวนาหนึ่งเดือนกับเร้จจี้ เล่นเอาเราตกอกตกใจ ไม่คิดว่าจะมีใครเอาจริงขนาดนี้ ทำให้ได้มีโอกาสมานั่งทบทวนตัวเอง ว่าเราอาจจะมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป อาจมีคนมากมายที่มีความโหยหาในเรื่องด้านในอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทางที่ดีเราน่าจะเปิดใจให้กว้าง และเชื้อเชิญทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราอย่างจริงใจ แม้ท้ายที่สุดก็คงต้องปล่อยให้เป็นความสมัครใจของเขาเอง

ทำให้ผมเห็นความหวังที่ในอนาคตจะมีชุมชนของผู้ปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นมากมายในเมืองไทย จากหลากหลายสายปฏิบัติ และชุมชนเหล่านี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในการเปลี่ยนแปลงด้านในควบคู่ไปการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต