16.5.05

อยากบ้า...

ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ตอนที่ผมเคยเรียนเก่งมากๆ สอบได้ที่หนึ่งประจำโดยที่ไม่เคยอ่านหนังสือ ผมคิดเสมอว่า "ทำไมชีวิตกูถึงน่าเบื่ออย่างนี้วะ" ผมรู้สึกว่าสังคมคนเรียนเก่งช่างคับแคบนัก พอเป็นวัยรุ่นคำถามก็ตกค้างมาไม่ยอมสลายไป ยิ่งโตก็ยิ่งดื้อ คำถามเดิมก็ยิ่งเวียนวน

สาเหตุที่ไม่เรียนหมอก็คงเพราะด้วยเหตุนี้ส่วนหนึ่ง พอกันทีสังคมลูกหมอ พอกันทีสังคมเด็กเรียน ผมเลือกเรียนวิศวะเพราะผมอยากบ้า อันนี้เหตุผลหลักเลยจริงๆ แต่พอไปเรียนก็ไม่เห็นมันจะบ้ากันตรงไหน ใครๆก็ไขว่คว้าหาสิ่งที่เขาบอกๆกันมา ผมก็ไม่เอาอีก พอกันที เมื่อไหร่ผมจะเป็นอิสระได้ออกไปเรียนรู้เจอผู้คนได้จริงๆซะที ผมจึงเริ่มทำงานคณะ เริ่มทำค่าย และอะไรอีกนานา...พอบ้าได้ที่ เรียนจบ ก็เอาอีกละ พอกันที และผมก็ไปบวช...

ผมว่าพระพุทธเจ้าก็อาจจะคิดอย่างผม ท่านคงเบื่อคนปกติๆในวังเต็มทน อะไรก็ดูคับแคบไปหมด ท่านคงอยากออกไปเรียนรู้จากผู้คน อยากทำอะไรที่คนเขาไม่ทำกัน อยากเรียนรู้ อยากบ้า ทางเดียวทีจะออกไปจากสังคมวรรณะตอนนั้นได้ ก็มีแต่การออกบวช แล้วท่านก็ไปบวช...

ตอนบวชผมได้เจอผู้คนมากมาย ได้คุยกะเด็กๆใสซื่อบริสุทธิ์ ได้คุยกะป้าแก่ๆที่เข้าวัด ได้คุยกะคนที่ตระหนักถึงความน่าเบื่อหน่ายวนไปวนมาของชีวิต ได้คุยกะหลวงพี่ในวัดทั้งหลายที่ผ่านชีวิตมาโชกโชนกว่าผม ผมจึงได้ตระหนักว่า...พอกันที (เอาอีกและ) กระแสน้ำช่างไหลเชี่ยวนัก แถมวนไปวนมาอีก...

ผมไม่อยากรอจนแก่ถึงค่อยมาตระหนัก...
...รู้เร็วแล้วคนหาว่าบ้า ดีกว่ารู้ช้าแล้วบ้าไปเองจริงๆ

พอผมสึก ผมจึงเริ่มมีความคิดบ้าๆเต็มที่ ทำอะไรที่มีคุณค่าในแบบของเราดีกว่ามั๊ง...ผมได้เจอพี่ณัฐฬส ที่เชียงราย ผมว่าพี่คนนี้แกบ้ามาก ผมถามแกคำถามเดียวที่ตอนนี้คนชอบถามผม และพี่เค้าก็ตอบผมแบบที่ผมตอบคนที่ถามผมในตอนนี้ "เรียนแบบที่พี่เรียนเนี่ย จบมาจะทำงานอะไรพี่" คำตอบนี้ของพี่ณัฐนี่แหละ ที่ทำให้ผมตัดสินใจมาเรียนที่นี่

"เราเรียนเพื่อรู้ว่าเราอยากทำอะไรไง พอเราเรียนจบ เราก็ออกไปทำมันให้สำเร็จ"
...ผมมั่วเอาในแบบของผมว่าพี่แกตอบผมอย่างงี้ (เกือบสามปีมาแล้ว ใครจะไปจำได้วะ)


เมื่อสามสี่อาทิตย์ก่อน ผมได้เดินติดตามอาจารย์สุลักษณ์ไปเรื่อยๆ แกมาพูดที่ Boulder พูดความจริงให้คนเขาเคืองทั่วไปหมด (CLICK Here to read)ยิ่งได้ผ่านอะไรในชีวิตมามาก ผมยิ่งเข้าใจนักรบท่านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ผมพูดได้คำเดียวว่า ผมรักคนๆนี้อย่างสุดหัวใจจริงๆ


อาจารย์สุลักษณ์ไปพบกับเร้จจี้ อาจารย์ผม (Click here to read his interview) เห็นคนที่ผมรักอย่างสุดหัวใจสองคนมานั่งคุยกันอย่างชื่นมื่น ผมก็ดื่มด่ำไปกับภาพนั้นเต็มที่ ก็คนเราพออยู่บนเส้นทางแห่งคุณค่า โดนคำนินทาเย้ยเยาะต่างๆนานา แต่ก็ยังบ้าเดินของกูมาเรื่อยๆ พอเจอกับคนอีกคนที่เดินดุ่มไม่รู้ไม่ชี้ มีเส้นทางอีกเส้นทางของตัวเองก็รู้สึกดียิ่ง เหมือนได้เจอคนที่รู้จักกันมานาน มิตรภาพแน่นแฟ้นแม้นเพียงเจอกันเพียงชั่ววินาทีเดียว ไปกินข้าวกับอาจารย์สุลักษณ์ ได้ไปเจอะกับเหล่าผู้คนที่ทำงานช่วยเหลือผู้คนในพม่าที่ต้องเผชิญกับความทุกข์หนักหนา

ได้เจอกับอิงก้า ผู้มีสามีเป็นเจ้าชายแห่งรัฐฉานผู้ถูกลอบสังหารอย่างโหดร้าย เจ้าหญิงแห่งพม่าจึงต้องระหกระเหินมาใช้ชีวิตสมถะอยู่ในประเทศใหญ่ๆประเทศนี้ แต่ยังมีหัวจิตหัวใจ อุทิศเรี่ยวแรงในการช่วยเหลือคนในบ้านเมืองที่เขารักอย่างไม่กลัวตาย

ผมยังได้เจอกับคุณหมอวิทย์ คุณหมอหน้าเด็กที่ทำงานอยู่ที่จอห์น ฮอปส์กินส์ หมอวิทย์แม้จะโตมาในสังคมฝรั่ง แต่หัวจิตหัวใจของเขายังมีไว้ให้คนทุกยากในแถบชายแดน รู้สึกทึ่งกับความเข้าใจปัญหาอย่างเชื่อมโยงของเขา ที่ตระหนักว่าสุขภาพกับอิสรภาพไม่สามารถแยกจากกันได้ และอิสรภาพของผู้คนคงจะต้องใช้เวลาสร้างกันอีกนาน ในโครงสร้างอันอยุติธรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ผมได้รู้จักกับเอวลิน คุณน้าลูกครึ่งไทยสวิส ที่มีพ่อเป็นคนในยุคสมัยปรีดี เอวลินยังตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เขายังไม่เข้าใจมากนัก กลับไปสู่รากของความเป็นไทยที่เขาขาดหายในวัยเด็ก

เดินไปเดินมาหยิบหนังสือภาษาฝรั่งเขียนโดยอาจารย์คนไทยในมหาวิทยาลัยคอแนล ก็ตะลึงไปกับเนื้อหาและความเข้าใจของการสูญเสียคุณค่าของพุทธศาสนาสายพระป่าในบ้านเรา

ผมจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์กมลา ผู้ให้แรงบันดาลใจกับผมจากการเขียนงานวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของพุทธศาสนา ที่มีผลกระทบต่อสังคมไทยในบ้านเราอย่างน่าเศร้ายิ่งนัก

ผมยังได้รู้จักกับคนหนุ่มสาวที่มีความคิด ความฝันไปในทางเดียวกันอีกมากมาย พี่หลินผู้ทำงานด้านผู้หญิงและเรียนปริญญาเอกอยู่ที่ CIIS พี่หลิ่ง พี่สาวคนเดียวที่นาโรปะผู้รักงานกระบวนการกลุ่ม กับ nonviolent communication กชกร สาวสถาปนิกฮาร์วาร์ด ผู้มากด้วยความสามารถ กับการเริ่มตั้งคำถามต่อการเติบโตด้านในของตนเอง พี่ฎ้ำ พี่สาวผู้แสนดีที่ Berkeley ผู้มีประสบการณ์มากมายกับการทำงานกับผู้ลี้ภัยในชายแดน เจงเคอร์ แม่ชีจากไต้หวัน ผู้รักการเรียนรู้ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไปพร้อมๆกัน ทริสทัน เด็กหนุ่มศิลปินผู้รู้จักความงามของศิลปะที่อยู่เหนือความสำเร็จฉาบฉวย เอริเคอร์ โพธิสัตว์ผู้ซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุด คอยแนะนำชี้แนะให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย อย่างไม่มีใครเสมอเหมือน แม้ทและแอนนี่ สองเพื่อนซี้ ที่แม้จะไม่รู้จะทำไงกับความงี่เง่าของประเทศตัวเอง แต่ก็ยังคิดหาทางเลือกของชีวิต ที่แม้จะยาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ลองเสียเลย ริชาร์ด เพื่อนสูงวัยผู้จิตใจดี ผู้เลือกที่จะอยู่ร่วมชีวิตกับแฟนสาวผู้พิการ สอนให้ผมเข้าใจคุณค่าของความรักที่ไม่มีในตำรา ...ที่ลืมไม่ได้คือ มุทิตาพี่สาวสุดเลิฟ ผู้ละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่าง มาทำงานมูลนิธิมอบทุนเพื่อการศึกษาในชนบท (อย่าลืมไปหาอ่านงานแปลของเธอ "เปลี่ยนรางชีวิต" โดย สนพ. สวนเงินมีมา)

และอีกเก้าลอเก้า...

ที่บ่นมาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการสื่ออะไรทั้งสิ้น ผมบ่นพร่ำของผมไปเรื่อยๆ โปรดอ่านโดยใช้วิจารณญาณวางใจให้ผ่อนคลาย ผมไม่เคยต้องการให้ใครมาทำเหมือนผม ผมไม่เคยคิดว่าตัวผมดีเด่กว่าใครที่ไหน แต่ผมเชื่อว่าคนเราต่างก็มีคำถามเป็นของตน ผมแค่อยากเป็นแรงใจให้เพื่อนๆได้ค้นหาคำตอบ...คำตอบที่อยู่ข้างใน ไม่ต้องไปหาข้างนอกที่ไหนเลย

เอาเป็นว่าสองปีที่มาอยู่ที่นี่ ผมได้เจอผู้คนมากมาย...เป็นความสุขและความงามอย่างที่ผมเคยฝันไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องแลกกับหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ผมเต็มใจจะแลก (เล่าๆไป ไม่รู้สึกฮึกเหิมอะไรเลยจริงๆนะ น้ำตาจะไหลซะมากกว่า)ผมก็ยังเดินต่อไปอย่างที่ไม่รู้ว่า เส้นทางเส้นนี้มันจะไปจบลงที่ไหน แต่ผมดีใจที่ผมได้เรียนรู้และลองทำอะไรของผมไปเรื่อยๆ ตามแต่เสียงข้างในจะพาผมไป ผมรักอาจารย์ผม รักเพื่อนผม และรักทุกคนที่มีหัวใจเดียวกัน ผู้ซึ่งผ่านเข้ามาในชีวิต มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และให้กำลังใจกันเรื่อยไป...

หากถามว่าผมอยากทำอะไร...ผมยังตอบไม่ได้ชัดนัก
รู้แต่ว่าอยากเรียนรู้ อยากเป็นคนดี ที่ไม่ใช่ดีตามคำที่สังคมที่คนอื่นบอกๆกันมาว่าดี
ผมอยากเป็นคนดี ในแบบที่ผมเคารพตัวของผมได้ในทุกวินาทีที่มีชีวิตอยู่
และผมคิดว่า ผมคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว...


...ฟัง jack johnson ชุดใหม่กันแล้วหรือยังครับ


...'better together' นะครับพี่น้อง...



วิจักขณ์
โบลด์เดอร์ โคโลราโด
(จบเทอมสี่ ที่นาโรปะ และกำลังจะกลับบ้าน ไปนั่งเล่นในป่า)