to my child
be fearless and consume the ocean.
take a sword and slay neurosis.
climb the mountains of dignity and subjugate arrogance.
look up and down and be decent.
when you learn to cry and laugh at the same time, with a gentle heart,
all my belongings are yours,
including your father.
แด่ลูกรัก
ด้วยใจที่ไม่หวั่นไหว จงดื่มกินมหาสมุทร
ไกวดาบ ฟาดฟันความวิปลาสทั้งหลาย
ปีนป่ายขุนเขาแห่งศักดิ์ศรี และกำราบอหังการให้สิ้นซาก
มองไปโดยรอบ ด้วยความอ่อนน้อม
ยามที่เจ้าร้องไห้และหัวเราะได้พร้อมกัน กับหัวใจที่อ่อนโยน
ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพ่อได้เป็นของเจ้าแล้ว
รวมถึงตัวพ่อเองด้วย
โดย เชอเกียม ตรุงปะ
วิจักขณ์ พานิช แปล
______________________________________________
- ข่าวประชาสัมพันธ์ จากมณฑลวัชรปัญญาและบ้านตีโลปะ -
http://www.tilopahouse.com
๑. ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒ ขอเชิญชวนเพื่อนฝูงที่สนใจแลกเปลี่ยนประสบการณ์บนเส้นทาง "การศึกษาด้านใน" ของตนเองร่วมกับ Matt และ Annie สองบัณฑิตจากภาควิชาผู้นำสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนาโรปะ ในโอกาสที่ทั้งสองมาเยือนบ้านตีโลปะ วงสนทนาเริ่มบ่ายสอง พกอาหารและเครื่องดื่มใส่ปิ่นโตมากินข้าวเย็นร่วมกัน แล้วพูดคุยกันต่อถึงสามทุ่ม แจ้งเจ้าบ้านล่วงหน้าที่ refish@tilopahouse.com ไม่งั้นไม่ต้อนรับ
๒. ๒๑-๒๔ มกราคม ๒๕๕๓ ต้อนรับศักราชใหม่ด้วย "PASSION ไฟตัณหา" กับ กัญญา ลิขนสุทธ์ และวิจักขณ์ พานิช เวิร์คช็อปสี่วัน ณ บ้านตีโลปะกับการร่วมกันสืบค้นการดูแลใจ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตแห่งความปรารถนาอันงดงามของความเป็นมนุษย์ ค้นพบแรงบันดาลใจแห่งการมีชีวิตอยู่ กระเทาะเปลือกแห่งสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น สู่ความเป็นตัวของตัวเองที่จริงแท้ เต็มเปี่ยมและทรงพลัง สมัครเข้าร่วมกิจกรรมท่านละ ๓๐๐๐ บาท รับจำนวนจำกัดเพียง ๑๕ ท่านที่ refish@tilopahouse.com
๓. ๑๖-๒๑ กุมภาพันธ์ ดุ่มเดินบนหนทาง กับอ.ประมวล เพ็งจันทร์ และวิจักขณ์ พานิช ใน "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ปฏิบัติภาวนา จาริก สนทนาธรรม และปลีกวิเวก บนวิถีอันง่ายงามท่ามกลางแมกไม้ สายน้ำ และขุนเขา สนใจติดต่อ เสมสิกขาลัย semsikkha_ram@yahoo.com
๔. อ่านบทสัมภาษณ์ Heart is a Lonely Wanderer โดยพี่หมี ในนิตยสาร IMAGE ฉบับธันวาคม ๒๕๕๒
๕. อ่านบทสัมภาษณ์อีกชิ้น โดยฮุ้ง ในนิตยสาร Secret คอลัมน์ Live&Learn ฉบับมกราคม ๒๕๕๓
17.12.09
5.12.09
จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒
วิจักขณ์ พานิช: สังคมในตอนนี้หันมาตื่นเต้นกับการภาวนามาก เพราะคนมีความทุกข์มาก ความทุกข์คืออะไร การให้ความหมายอันหนึ่งที่ผมชอบก็คือ ความทุกข์คือการตัดขาด ความทุกข์เกิดเพราะเราตัดขาดจากความสัมพันธ์เชื่อมโยง เมื่อเราไม่เข้าใจว่าเราทุกข์เพราะเราตัดขาดจากตัวเอง คนอื่น ธรรมชาติ และความเป็นจริง เราก็พยายามหาบางสิ่งเข้ามาทดแทนซึ่งก็คือความสุข แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เรายิ่งหาทางเบี่ยง หาทางลัดไปสู่ความสุข โดยไม่ได้กลับมาอ่อนโยนกับตัวเอง สัมพันธ์กับตัวเอง ผู้คน ธรรมชาติ เรามัวสนใจแต่ผลลัพธ์จนหลายครั้งที่เราพยายาม ไต่ขึ้นไป เราก็ยิ่งหลงลืมว่ามีผืนดิน มีสิ่งรอบตัวที่เราควรน้อมกลับลงมาสัมพันธ์ด้วย
การภาวนาคือการฝึกที่จะอยู่กับตัวเองให้เป็น อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่กับสิ่งแวดล้อม อยู่กับฤดูกาล ความผันแปร ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นอย่างแจ่มชัดและผ่อนคลายกับมันได้ เราก็จะเรียนรู้มันด้วยความละเอียดอ่อน การเข้าคอร์สภาวนาก็คือการจัดสถานที่ หรือสถานการณ์บางอย่างให้เราได้อยู่กับตัวเอง เพราะปกติเราอยู่กับตัวเองไม่ได้ นั่งเฉยๆแค่ ๕ นาทีก็ไม่ได้ คอร์สภาวนาคือการให้กำลังใจว่าเราทุกคนสามารถอยู่กับตัวเองได้ เทคนิควิธีการทั้งหลายที่ครูบาอาจารย์ส่งทอดต่อกันมา ก็คือการปล่อยวางความคิด จนเราสามารถที่จะนิ่งอยู่กับตัวเองได้จริงๆ ความคิดเข้ามากั้นขวางทำให้เรามองไม่เห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า ช่วงแรกของการฝึกเราจะเห็นว่าเรามีความคิด ความกลัว ความคาดหวังเป็นกำแพง การฝึกช่วงแรกๆ จะเต็มไปด้วยความคิด จะทำอย่างไรให้เราปล่อยวางความคิด อยู่กับความเงียบ อยู่กับเสียงต้นไม้ อยู่กับเสียงหัวใจของเราได้
การมาเข้าวิปัสสนา หรือคอร์สอบรมภาวนาต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ จริงๆแล้วมันก็เหมือนโรงพยาบาลโรคจิต เราป่วยและต้องการการบำบัด คอร์สเหล่านี้ทำไว้สำหรับคนเมืองที่ป่วย ซึ่งผมก็ป่วยมาเช่นเดียวกัน เราเต็มไปด้วยความคิด เดินก็ลอยๆ ไม่ค่อยสัมพันธ์กับอะไร นี่คือความป่วยของคนเมืองในโลกสมัยใหม่ที่อยู่ในภาวะตัดขาดอย่างรุนแรง เราจึงมีคอร์สต่างๆ ให้เข้ามากมาย ซึ่งผมหวังว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะไม่ต้องเข้าคอร์สเหล่านี้อีกต่อไป เราสามารถเริ่มที่จะกลับมาปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เรียนรู้จากชีวิตจริง ธรรมชาติ สัมพันธ์กับผืนดินและผู้คน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ในชีวิตจริงๆ ทำให้ชีวิตมีความหมาย มีพลัง เราต้องมองให้ออกว่าการฝึกภาวนาของเรา เราทำอะไรอยู่ ชีวิตมันเป็นเป้าหมายของมันเอง ไม่ใช่เราจะมาเอาดีทางการภาวนา แต่การภาวนาคือชีวิต คือประสบการณ์ในชีวิต ทุกความทุกข์ ทุกความสุข ถ้าเรามีพื้นฐานของการฝึกใจที่ดี ใจเราจะเปิด และมันจะเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตของเรา
โจน จันได: การภาวนาคือการเป็นปกติ ถ้าเราพูดเสียงดังก็พูดเสียงดัง ไม่ต้องทำอะไรให้มันวิจิตรพิสดาร ถ้าเราฝึกที่จะยืน เดิน นั่ง นอน จับนั้นนี่ ไป ไม่ได้คิดอะไร ก็จะเกิดความไม่ประมาททางจิต เรารู้สึกได้ว่าเราทำอะไรอยู่ เป็นชีวิตปกติประจำวัน เหยียบดินถ้าเราเหยียบอะไรที่มันแข็งเราก็หยุด มันเป็นความปกติของการมีชิวิตอยู่ แต่ก่อนผมก็เคยคิดว่าการภาวนาคือการนั่งเพื่อฝึกใจให้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ เห็นชาติที่แล้ว ชาติหน้า เห็นหวย เห็นเลข สัมผัสกับญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว มันกลายเป็นเรื่องที่ไกลจากตัวเอง บางครั้งก็เพลิดเพลินกับการนิ่งเหมือนจมลึกไปสู่สิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด หรือลอยไปไกล เมื่อก่อนผมติดที่จะนั่งแบบนั้น แต่มันก็อยู่แค่นั้น ไม่ได้ไปไหน เพราะเราติดกับความรู้สึกวูบวาบ กลายเป็นการภาวนาทำให้เราเสียเวลาไปอย่างน่าเสียดาย
การภาวนาคือการเข้าใจการทำงานของใจตัวเองว่า เช่น ทำไมเราต้องโกรธเวลาใครพูดไม่เข้าหู ทำไมเราต้องเสียดายเวลาอะไรพรากจากเราไป เป็นการพิจารณาสืบค้นไปเรื่อยๆ ทำให้เราเห็นอะไรที่มากขึ้น จนคลี่คลายปัญหาในชีวิตได้ แต่ก่อนที่จะพิจารณาสืบค้น เราก็ต้องมีใจที่นิ่งเสียก่อน นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการภาวนา เมื่อเรานิ่งแล้วก็ใช้การพิจารณาสืบค้นปัญหาในชีวิตของเรา ผมมักพิจารณาสืบค้นกายของตัวเอง ดูว่าอะไรคือตัวเรา ผมเห็นแต่การไหลของธาตุต่างๆ ในรูปของอากาศ น้ำ อาหาร แล้วมันก็ไหลออกไป แต่เราอาจเห็นว่ามันช้ามากจนเราเข้าใจว่านี่คือตัวของเรา แต่ถ้าเรามองให้ไกลออกไป เห็นเหมือนชีวิตของผีเสื้อ จะเห็นว่าชีวิตคนเรามันไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณากายบ่อยๆ ก็เห็นว่า นี่ไม่ใช่ตัวผมนะ นี่เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของตัวผมเท่านั้นเอง ตัวผมคือพื้นดิน คือน้ำ คืออากาศด้วย มันเชื่อมโยงไหลเวียนตลอดเวลา การเข้าใจว่าตัวผมมีแค่นี้ คือการเข้าใจผิดมากๆ เพราะตัวนี้จะอยู่ไม่ได้เลยถ้าตัดขาดจากพื้นดิน อากาศ พืช สัตว์ มันอยู่ไม่ได้ ฉะนั้นตัวทั้งหมดคือตัวเดียวกัน ความรู้สึกอย่างนี้ได้ทำให้ใจเราไม่กลัว หรือกังวลกับการมีชีวิตอยู่ เพราะทั้งหมดคือตัวเรา ทำให้ใจเรากว้างมากขึ้น เพราะตัวเรานี้คือส่วนที่เล็กที่สุดของตัวเราเท่านั้น เราต้องดูแลตัวเราทั้งหมด โลก ต้นไม้ อากาศ
เมื่อเราเห็นความปกติของชีวิต เราก็จะไม่กลัว ใช้ชีวิตไปแบบนี้ เราใช้ชีวิตที่ไม่ทำร้ายตัวเองก็คือการไม่ทำร้ายสิ่งต่างๆ การภาวนาสำหรับผมคือการนั่งนิ่งๆ ไม่ปล่อยให้ความกลัว ความกังวล อดีตหรืออนาคตมารบกวนเรามากเกินไป ในช่วงที่สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่รบกวนเรา เราก็จะพบความนิ่ง ด้วยความนิ่งเราก็นำมาพิจารณาสืบค้น มันจะทำให้เราเห็นอะไรที่ชัด ลึก มากขึ้น
ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่ทำให้มันเบา สบาย ง่าย ผมก็ฝึกอย่างนี้มาเรื่อยๆ
วิจักขณ์ พานิช: สิ่งที่เรามาฝึกกับพี่โจคือการพึ่งตัวเองทางปัจจัย ๔ ส่วนการภาวนาก็คือการกลับมาพึ่งตัวเองทางจิตวิญญาณ หลายสิ่งหลายอย่างในระบบสังคมทุกวันนี้พยายามดึงเราให้เป็นทาส แม้แต่เรื่องทางจิตวิญญาณก็เหมือนกัน ที่มักหาวิธีที่จะเล่นกับความกลัว ความอยาก ความขาดพร่องของคน คนที่ฝึกภาวนาไม่ใช่ฝึกเพื่อให้คลั่งไคล้ครู คลั่งไคล้ศาสนา คลั่งไคล้ธรรมะ แต่เป็นการค่อยๆ ปลดความจริงในตัวเรา ค่อยๆเป็นอิสระจากการพึ่งพิงสิ่งต่างๆจากภายนอก ภาวนาที่แท้จริงคือการพึ่งตัวเอง การกลับมาเชื่อในศักยภาพของตัวเอง การปฏิบัติทางจิตวิญญาณไม่ควรทำให้เราอ่อนเปลี้ย กลัวยิ่งขึ้น ต้องเร่งตัวเองมากขึ้น หรือต้องถีบตัวเองให้สูงขึ้น นั่นดูจะไม่ใช่คุณค่าทางจิตวิญญาณ แต่เป็นการเล่นกับความกลัวเสียมากกว่า
โจน จันได: คำว่า “อัตตาหิ อัตโนนาโถ” เป็นคำทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่คำทางโลกที่เราเข้าใจว่าการพึ่งตัวเอง ไม่พึ่งพิงคนอื่น แต่มันหมายความว่า การที่เราจะต้องเข้าใจด้วยตัวเอง ไม่มีใครที่จะพึ่งพิงได้ ตัวเราต้องทำด้วยตัวของเราเอง
เมื่อก่อนผมก็วิ่งตามอาจารย์ คิดว่าอาจารย์จะช่วยเราได้ หนังสือเล่มไหนว่าดี ก็ต้องอ่าน คิดว่าจะช่วยได้ แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่แผนที่ที่ช่วยบอกเราว่าถ้าจะไปทางนั้น จะต้องเจอสิ่งนั้น สิ่งนี้ ฉะนั้นการที่จะเข้าใจความจริงของการมีชีวิตอยู่เราต้องเดินไปเอง การอ่านมากๆ ก็แค่เป็นเพียงคนที่รวบรวมแผนที่ เข้าหาอาจารย์ทุกอาจารย์ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะมัวแต่ชื่นชมอาจารย์ นี้คือกำแพงที่ใหญ่มากสำหรับผมเองในอดีต แต่เมื่อลงมือทำมันไม่สูตร ไม่มีตำรา รูปแบบทั้งหมดถูก สำหรับคนบางคน รูปแบบทั้งหมดผิดสำหรับคนบางคน แล้วแต่จริตของใครเท่านั้นเอง เพราะว่าความจริงไม่มีศาสนาหรือลัทธิ แต่เป็นสิ่งสากลของการเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ในหลายๆอาจารย์มีทั้งจริงและปลอมทำให้เราสับสนมากขึ้น แต่เรื่องจิตใจควรเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ซับซ้อน
ผมอาจจะหลงทางก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าชีวิตผมเบา สบายยิ่งขึ้น แค่นี้ก็พอ เพราะผมไม่ได้คิดถึงสวรรค์ นิพพาน การบรรลุ มันแค่แสวงหาความง่ายให้ชีวิต
(จากงานอบรม "จิตวิญญาณแห่งผืนดิน" ณ สวนพันพรรณ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่)
ขอบคุณนิ้งที่ช่วยถอดเทปออกมาอย่างด่วนจี๋
การภาวนาคือการฝึกที่จะอยู่กับตัวเองให้เป็น อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่กับสิ่งแวดล้อม อยู่กับฤดูกาล ความผันแปร ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นอย่างแจ่มชัดและผ่อนคลายกับมันได้ เราก็จะเรียนรู้มันด้วยความละเอียดอ่อน การเข้าคอร์สภาวนาก็คือการจัดสถานที่ หรือสถานการณ์บางอย่างให้เราได้อยู่กับตัวเอง เพราะปกติเราอยู่กับตัวเองไม่ได้ นั่งเฉยๆแค่ ๕ นาทีก็ไม่ได้ คอร์สภาวนาคือการให้กำลังใจว่าเราทุกคนสามารถอยู่กับตัวเองได้ เทคนิควิธีการทั้งหลายที่ครูบาอาจารย์ส่งทอดต่อกันมา ก็คือการปล่อยวางความคิด จนเราสามารถที่จะนิ่งอยู่กับตัวเองได้จริงๆ ความคิดเข้ามากั้นขวางทำให้เรามองไม่เห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า ช่วงแรกของการฝึกเราจะเห็นว่าเรามีความคิด ความกลัว ความคาดหวังเป็นกำแพง การฝึกช่วงแรกๆ จะเต็มไปด้วยความคิด จะทำอย่างไรให้เราปล่อยวางความคิด อยู่กับความเงียบ อยู่กับเสียงต้นไม้ อยู่กับเสียงหัวใจของเราได้
การมาเข้าวิปัสสนา หรือคอร์สอบรมภาวนาต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ จริงๆแล้วมันก็เหมือนโรงพยาบาลโรคจิต เราป่วยและต้องการการบำบัด คอร์สเหล่านี้ทำไว้สำหรับคนเมืองที่ป่วย ซึ่งผมก็ป่วยมาเช่นเดียวกัน เราเต็มไปด้วยความคิด เดินก็ลอยๆ ไม่ค่อยสัมพันธ์กับอะไร นี่คือความป่วยของคนเมืองในโลกสมัยใหม่ที่อยู่ในภาวะตัดขาดอย่างรุนแรง เราจึงมีคอร์สต่างๆ ให้เข้ามากมาย ซึ่งผมหวังว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะไม่ต้องเข้าคอร์สเหล่านี้อีกต่อไป เราสามารถเริ่มที่จะกลับมาปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เรียนรู้จากชีวิตจริง ธรรมชาติ สัมพันธ์กับผืนดินและผู้คน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ในชีวิตจริงๆ ทำให้ชีวิตมีความหมาย มีพลัง เราต้องมองให้ออกว่าการฝึกภาวนาของเรา เราทำอะไรอยู่ ชีวิตมันเป็นเป้าหมายของมันเอง ไม่ใช่เราจะมาเอาดีทางการภาวนา แต่การภาวนาคือชีวิต คือประสบการณ์ในชีวิต ทุกความทุกข์ ทุกความสุข ถ้าเรามีพื้นฐานของการฝึกใจที่ดี ใจเราจะเปิด และมันจะเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตของเรา
โจน จันได: การภาวนาคือการเป็นปกติ ถ้าเราพูดเสียงดังก็พูดเสียงดัง ไม่ต้องทำอะไรให้มันวิจิตรพิสดาร ถ้าเราฝึกที่จะยืน เดิน นั่ง นอน จับนั้นนี่ ไป ไม่ได้คิดอะไร ก็จะเกิดความไม่ประมาททางจิต เรารู้สึกได้ว่าเราทำอะไรอยู่ เป็นชีวิตปกติประจำวัน เหยียบดินถ้าเราเหยียบอะไรที่มันแข็งเราก็หยุด มันเป็นความปกติของการมีชิวิตอยู่ แต่ก่อนผมก็เคยคิดว่าการภาวนาคือการนั่งเพื่อฝึกใจให้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ เห็นชาติที่แล้ว ชาติหน้า เห็นหวย เห็นเลข สัมผัสกับญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว มันกลายเป็นเรื่องที่ไกลจากตัวเอง บางครั้งก็เพลิดเพลินกับการนิ่งเหมือนจมลึกไปสู่สิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด หรือลอยไปไกล เมื่อก่อนผมติดที่จะนั่งแบบนั้น แต่มันก็อยู่แค่นั้น ไม่ได้ไปไหน เพราะเราติดกับความรู้สึกวูบวาบ กลายเป็นการภาวนาทำให้เราเสียเวลาไปอย่างน่าเสียดาย
การภาวนาคือการเข้าใจการทำงานของใจตัวเองว่า เช่น ทำไมเราต้องโกรธเวลาใครพูดไม่เข้าหู ทำไมเราต้องเสียดายเวลาอะไรพรากจากเราไป เป็นการพิจารณาสืบค้นไปเรื่อยๆ ทำให้เราเห็นอะไรที่มากขึ้น จนคลี่คลายปัญหาในชีวิตได้ แต่ก่อนที่จะพิจารณาสืบค้น เราก็ต้องมีใจที่นิ่งเสียก่อน นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการภาวนา เมื่อเรานิ่งแล้วก็ใช้การพิจารณาสืบค้นปัญหาในชีวิตของเรา ผมมักพิจารณาสืบค้นกายของตัวเอง ดูว่าอะไรคือตัวเรา ผมเห็นแต่การไหลของธาตุต่างๆ ในรูปของอากาศ น้ำ อาหาร แล้วมันก็ไหลออกไป แต่เราอาจเห็นว่ามันช้ามากจนเราเข้าใจว่านี่คือตัวของเรา แต่ถ้าเรามองให้ไกลออกไป เห็นเหมือนชีวิตของผีเสื้อ จะเห็นว่าชีวิตคนเรามันไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณากายบ่อยๆ ก็เห็นว่า นี่ไม่ใช่ตัวผมนะ นี่เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของตัวผมเท่านั้นเอง ตัวผมคือพื้นดิน คือน้ำ คืออากาศด้วย มันเชื่อมโยงไหลเวียนตลอดเวลา การเข้าใจว่าตัวผมมีแค่นี้ คือการเข้าใจผิดมากๆ เพราะตัวนี้จะอยู่ไม่ได้เลยถ้าตัดขาดจากพื้นดิน อากาศ พืช สัตว์ มันอยู่ไม่ได้ ฉะนั้นตัวทั้งหมดคือตัวเดียวกัน ความรู้สึกอย่างนี้ได้ทำให้ใจเราไม่กลัว หรือกังวลกับการมีชีวิตอยู่ เพราะทั้งหมดคือตัวเรา ทำให้ใจเรากว้างมากขึ้น เพราะตัวเรานี้คือส่วนที่เล็กที่สุดของตัวเราเท่านั้น เราต้องดูแลตัวเราทั้งหมด โลก ต้นไม้ อากาศ
เมื่อเราเห็นความปกติของชีวิต เราก็จะไม่กลัว ใช้ชีวิตไปแบบนี้ เราใช้ชีวิตที่ไม่ทำร้ายตัวเองก็คือการไม่ทำร้ายสิ่งต่างๆ การภาวนาสำหรับผมคือการนั่งนิ่งๆ ไม่ปล่อยให้ความกลัว ความกังวล อดีตหรืออนาคตมารบกวนเรามากเกินไป ในช่วงที่สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่รบกวนเรา เราก็จะพบความนิ่ง ด้วยความนิ่งเราก็นำมาพิจารณาสืบค้น มันจะทำให้เราเห็นอะไรที่ชัด ลึก มากขึ้น
ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่ทำให้มันเบา สบาย ง่าย ผมก็ฝึกอย่างนี้มาเรื่อยๆ
วิจักขณ์ พานิช: สิ่งที่เรามาฝึกกับพี่โจคือการพึ่งตัวเองทางปัจจัย ๔ ส่วนการภาวนาก็คือการกลับมาพึ่งตัวเองทางจิตวิญญาณ หลายสิ่งหลายอย่างในระบบสังคมทุกวันนี้พยายามดึงเราให้เป็นทาส แม้แต่เรื่องทางจิตวิญญาณก็เหมือนกัน ที่มักหาวิธีที่จะเล่นกับความกลัว ความอยาก ความขาดพร่องของคน คนที่ฝึกภาวนาไม่ใช่ฝึกเพื่อให้คลั่งไคล้ครู คลั่งไคล้ศาสนา คลั่งไคล้ธรรมะ แต่เป็นการค่อยๆ ปลดความจริงในตัวเรา ค่อยๆเป็นอิสระจากการพึ่งพิงสิ่งต่างๆจากภายนอก ภาวนาที่แท้จริงคือการพึ่งตัวเอง การกลับมาเชื่อในศักยภาพของตัวเอง การปฏิบัติทางจิตวิญญาณไม่ควรทำให้เราอ่อนเปลี้ย กลัวยิ่งขึ้น ต้องเร่งตัวเองมากขึ้น หรือต้องถีบตัวเองให้สูงขึ้น นั่นดูจะไม่ใช่คุณค่าทางจิตวิญญาณ แต่เป็นการเล่นกับความกลัวเสียมากกว่า
โจน จันได: คำว่า “อัตตาหิ อัตโนนาโถ” เป็นคำทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่คำทางโลกที่เราเข้าใจว่าการพึ่งตัวเอง ไม่พึ่งพิงคนอื่น แต่มันหมายความว่า การที่เราจะต้องเข้าใจด้วยตัวเอง ไม่มีใครที่จะพึ่งพิงได้ ตัวเราต้องทำด้วยตัวของเราเอง
เมื่อก่อนผมก็วิ่งตามอาจารย์ คิดว่าอาจารย์จะช่วยเราได้ หนังสือเล่มไหนว่าดี ก็ต้องอ่าน คิดว่าจะช่วยได้ แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่แผนที่ที่ช่วยบอกเราว่าถ้าจะไปทางนั้น จะต้องเจอสิ่งนั้น สิ่งนี้ ฉะนั้นการที่จะเข้าใจความจริงของการมีชีวิตอยู่เราต้องเดินไปเอง การอ่านมากๆ ก็แค่เป็นเพียงคนที่รวบรวมแผนที่ เข้าหาอาจารย์ทุกอาจารย์ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะมัวแต่ชื่นชมอาจารย์ นี้คือกำแพงที่ใหญ่มากสำหรับผมเองในอดีต แต่เมื่อลงมือทำมันไม่สูตร ไม่มีตำรา รูปแบบทั้งหมดถูก สำหรับคนบางคน รูปแบบทั้งหมดผิดสำหรับคนบางคน แล้วแต่จริตของใครเท่านั้นเอง เพราะว่าความจริงไม่มีศาสนาหรือลัทธิ แต่เป็นสิ่งสากลของการเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ในหลายๆอาจารย์มีทั้งจริงและปลอมทำให้เราสับสนมากขึ้น แต่เรื่องจิตใจควรเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ซับซ้อน
ผมอาจจะหลงทางก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าชีวิตผมเบา สบายยิ่งขึ้น แค่นี้ก็พอ เพราะผมไม่ได้คิดถึงสวรรค์ นิพพาน การบรรลุ มันแค่แสวงหาความง่ายให้ชีวิต
(จากงานอบรม "จิตวิญญาณแห่งผืนดิน" ณ สวนพันพรรณ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่)
ขอบคุณนิ้งที่ช่วยถอดเทปออกมาอย่างด่วนจี๋
ของฝากจากผืนดิน
สำหรับเพื่อนๆที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่บ้านตีโลปะ เช่นในโอกาส "ชีวิตคือความรุนแรง" หรือ "เมล็ดพันธุ์ภาวนา" ที่จะมาถึงเร็วๆนี้ และอยากหนีบอะไรมาฝาก ขอแนะนำสิ่งต่างๆต่อไปนี้: ต้นไม้ที่รอการแยกเหล่าแยกกอ (โดยเฉพาะไม้ใบและไม้แขวน) ดินดีแถวบ้าน ฟาง ขี้ไก่ หินหรืออิฐจัดสวน เศษใบไม้แห้ง ปลา (หางนกยูง ปลาทอง) และวัสดุอุปกรณ์สำหรับจัดสวนที่มีเหลือใช้แบบไม่ต้องซื้อหาทุกชนิด
20.11.09
ขอบคุณ
ขอบคุณสำหรับทุกชีวิตที่ร่วมสรรค์สร้างบ้านตีโลปะขึ้นมาคนละเล็กละน้อยจนเป็นภาพอย่างที่ปรากฏ
ขอบคุณท่านตรุงปะ เร้จจี้ และลี และธรรมาจารย์ในสายธรรมทุกท่าน ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของบ้านหลังนี้
พ่อและแม่ สำหรับความเกื้อหนุนและความเสียสละ ที่มอบบ้านหลังนี้ให้เป็นสถานที่สำหรับผู้ประพฤติธรรม
อาจารย์สุลักษณ์ สำหรับความรักและกำลังใจ ที่คอยไถ่ถามถึงความเป็นไปของบ้านหลังนี้อยู่ตลอด ขอบคุณอาจารย์ที่ให้เกียรติมาเจิมบ้าน และนำพาเอาพลังที่ดีงามเป็นจุดเริ่มต้นให้แก่บ้านตีโลปะ
นภา สำหรับแรงกายและแรงใจ การอุทิศตนโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน และความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆอย่างที่ไม่สามารถหาใครมาเสมอเหมือนได้ บ้านหลังนี้คงไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างได้หากปราศจากสิ่งที่นภามอบให้ด้วยชีวิต ขอบคุณสำหรับเว็บไซต์ที่งามเป็นที่สุด
พี่ต้อง และป้าจิตร สำหรับไม้จากบ้านลาดพร้าว ที่นำมาใช้สร้างบ้านทั้งหลัง
พี่หนึ่ง สำหรับมิตรภาพและกำลังใจ และสองเดือนที่ช่วยดูแลการก่อสร้างบ้านระหว่างที่ผมไปต่างประเทศ สำหรับสีบ้านอันจัดจ้าน ที่่โดนใจจนใจสั่น สำหรับการช่วยย้ายของไปมาหลายต่อหลายรอบ สำหรับการโอบอุ้มในช่วงเวลาที่ปลาไม่กระโดด และกำลังจะจมน้ำ
น้ำ และแอน สำหรับงานออกแบบบ้าน ที่ต้องอาศัยความอดทนต่อความเรื่องมากของเจ้าบ้านอย่างถึงที่สุด ขอบคุณน้ำที่แวะมาเยือนและดูรายละเอียดเล็กน้อยให้บ้านตีโลปะจนเสร็จสิ้น
พี่ยุทธ สำหรับความเต็มใจ เต็มกาย และความอดทนตลอดหลายเดือนที่มีให้กับบ้านตีโลปะ ดีใจมากที่ได้พี่ยุทธเป็นผู้คุมงานสร้างบ้านหลังนี้ หวังว่าวันหนึ่งบ้านคงจะได้ต้อนรับน้องผิงอัน และพี่นุชด้วย ขอบคุณต๋อ ที่มาช่วยดูรายละเอียดในช่วงที่พี่ยุทธไปทำหน้าที่พ่อ
ทีมช่างแสนประเสริฐ พี่จักร ลุงเบิ้ม พี่ชวน พี่เบิ่ง พี่ป๊อด พี่ต้อย และคณะ สำหรับทุกรายละเอียดของบ้าน ขอบคุณสำหรับมิตรภาพ ประสบการณ์ และความหมายของชีวิตมากมาย ที่ผมได้เรียนรู้จากการที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพี่ตลอดการสร้างบ้านหลังนี้ ขอบคุณต้นตะเบบูย่าเหลืองสองต้นที่พี่จักรหอบมาฝากจากนครนายก และขอบคุณที่ให้ได้รู้จักรสชาติของใบกระท่อม
เอ็ม และติ สำหรับการมาช่วยจัดบ้าน ทำความสะอาดบ้าน และเตรียมงาน อย่างไม่มีปริปากบ่น ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารออกมาด้วยคำพูดหวานๆ
คุณแม่ของนภา สำหรับการช่วยเย็บผ้าเบาะที่งดงามอย่างเรียบง่าย
พี่เหมียว เพื่อนบ้านที่แสนดี สำหรับการช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ยามที่ไม่มีใครอยู่บ้าน
พี่อัญชลี สำหรับการให้เกียรติมาเป็นแขกคนแรกของบ้าน และแรงใจที่เกื้อหนุน
พี่หลิ่ง สำหรับผ้าเบาะลายผ้าถุง ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับห้องปฏิบัติ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ กำลังใจ และการช่วยเหลือให้คำปรึกษาทางจิต ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่งอกงามอย่างรวดเร็วในช่วงไม่นานที่ได้รู้จักกัน
ขอบคุณแขกทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยือนและมอบพลังที่ดีงามให้กับบ้าน และพลังใจอีกมากมายร้อยแปดจากทั่วทุกสารทิศที่ไม่สามารถกล่าวได้หมดสิ้นในที่นี้
และท้ายที่สุด ขอบคุณเยเช ที่จะอยู่ในใจพ่อตลอดไปในทุกหลืบมุมของบ้านหลังนี้ ...
ติดตามการเดินทางบทต่อไปของบ้านได้ที่
http://www.tilopahouse.com
ขอบคุณท่านตรุงปะ เร้จจี้ และลี และธรรมาจารย์ในสายธรรมทุกท่าน ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของบ้านหลังนี้
พ่อและแม่ สำหรับความเกื้อหนุนและความเสียสละ ที่มอบบ้านหลังนี้ให้เป็นสถานที่สำหรับผู้ประพฤติธรรม
อาจารย์สุลักษณ์ สำหรับความรักและกำลังใจ ที่คอยไถ่ถามถึงความเป็นไปของบ้านหลังนี้อยู่ตลอด ขอบคุณอาจารย์ที่ให้เกียรติมาเจิมบ้าน และนำพาเอาพลังที่ดีงามเป็นจุดเริ่มต้นให้แก่บ้านตีโลปะ
นภา สำหรับแรงกายและแรงใจ การอุทิศตนโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน และความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆอย่างที่ไม่สามารถหาใครมาเสมอเหมือนได้ บ้านหลังนี้คงไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างได้หากปราศจากสิ่งที่นภามอบให้ด้วยชีวิต ขอบคุณสำหรับเว็บไซต์ที่งามเป็นที่สุด
พี่ต้อง และป้าจิตร สำหรับไม้จากบ้านลาดพร้าว ที่นำมาใช้สร้างบ้านทั้งหลัง
พี่หนึ่ง สำหรับมิตรภาพและกำลังใจ และสองเดือนที่ช่วยดูแลการก่อสร้างบ้านระหว่างที่ผมไปต่างประเทศ สำหรับสีบ้านอันจัดจ้าน ที่่โดนใจจนใจสั่น สำหรับการช่วยย้ายของไปมาหลายต่อหลายรอบ สำหรับการโอบอุ้มในช่วงเวลาที่ปลาไม่กระโดด และกำลังจะจมน้ำ
น้ำ และแอน สำหรับงานออกแบบบ้าน ที่ต้องอาศัยความอดทนต่อความเรื่องมากของเจ้าบ้านอย่างถึงที่สุด ขอบคุณน้ำที่แวะมาเยือนและดูรายละเอียดเล็กน้อยให้บ้านตีโลปะจนเสร็จสิ้น
พี่ยุทธ สำหรับความเต็มใจ เต็มกาย และความอดทนตลอดหลายเดือนที่มีให้กับบ้านตีโลปะ ดีใจมากที่ได้พี่ยุทธเป็นผู้คุมงานสร้างบ้านหลังนี้ หวังว่าวันหนึ่งบ้านคงจะได้ต้อนรับน้องผิงอัน และพี่นุชด้วย ขอบคุณต๋อ ที่มาช่วยดูรายละเอียดในช่วงที่พี่ยุทธไปทำหน้าที่พ่อ
ทีมช่างแสนประเสริฐ พี่จักร ลุงเบิ้ม พี่ชวน พี่เบิ่ง พี่ป๊อด พี่ต้อย และคณะ สำหรับทุกรายละเอียดของบ้าน ขอบคุณสำหรับมิตรภาพ ประสบการณ์ และความหมายของชีวิตมากมาย ที่ผมได้เรียนรู้จากการที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพี่ตลอดการสร้างบ้านหลังนี้ ขอบคุณต้นตะเบบูย่าเหลืองสองต้นที่พี่จักรหอบมาฝากจากนครนายก และขอบคุณที่ให้ได้รู้จักรสชาติของใบกระท่อม
เอ็ม และติ สำหรับการมาช่วยจัดบ้าน ทำความสะอาดบ้าน และเตรียมงาน อย่างไม่มีปริปากบ่น ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารออกมาด้วยคำพูดหวานๆ
คุณแม่ของนภา สำหรับการช่วยเย็บผ้าเบาะที่งดงามอย่างเรียบง่าย
พี่เหมียว เพื่อนบ้านที่แสนดี สำหรับการช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ยามที่ไม่มีใครอยู่บ้าน
พี่อัญชลี สำหรับการให้เกียรติมาเป็นแขกคนแรกของบ้าน และแรงใจที่เกื้อหนุน
พี่หลิ่ง สำหรับผ้าเบาะลายผ้าถุง ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับห้องปฏิบัติ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ กำลังใจ และการช่วยเหลือให้คำปรึกษาทางจิต ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่งอกงามอย่างรวดเร็วในช่วงไม่นานที่ได้รู้จักกัน
ขอบคุณแขกทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยือนและมอบพลังที่ดีงามให้กับบ้าน และพลังใจอีกมากมายร้อยแปดจากทั่วทุกสารทิศที่ไม่สามารถกล่าวได้หมดสิ้นในที่นี้
และท้ายที่สุด ขอบคุณเยเช ที่จะอยู่ในใจพ่อตลอดไปในทุกหลืบมุมของบ้านหลังนี้ ...
ติดตามการเดินทางบทต่อไปของบ้านได้ที่
http://www.tilopahouse.com
19.11.09
2.11.09
จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๒
Six Illusions
As Metaphors of Impermanence
Look there at all the objects appearing outside,
Fleeting visions, like last night’s dream.
When you recall they’re dream-like, these delusions make your mind uneasy.
Have you cut delusion at the root, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at your body,
Transitory like a city of ghandharvas,
Its rising and falling make your mind uneasy.
Have you cut through [the fear of] birth and death, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at the perceiving mind,
Fugitive like a bird in the crest of a tree,
So restless its makes your mind uneasy.
Have you taken a hold of mind’s secure ground, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at the breath moving inside,
It’s impermanent like mist in the air.
The fading and passing of mist makes your mind uneasy.
Have you seen movement vanish on its own, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking at these friends assembled here,
They’re transient like crowds at a fair.
Once gathered, they’re sure to part, making your mind uneasy.
Have you set relations on a higher level, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking at the wealth collected here,
Evanescent like honey of the bees,
Someone else enjoying your things make your mind uneasy.
Have you opened the treasure of mind itself, Rechungpa?
When I reflect on this, the sublime Dharma comes to mind.
มายาแห่งความไม่เที่ยงทั้งหก
มองออกไป ยังวัตถุที่ปรากฏอยู่ภายนอก
ภาพซึ่งพริบตาเดียวก็หายวับไป ราวกับภาพฝันในคืนก่อน
เมื่อใดที่เธอระลึกได้ ช่างทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตัดภาพลวงตาที่รากของมันแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในร่างกายที่ยาววาหนาคืบ
ปราศจากความยั่งยืนถาวร เหมือนนครแห่งคนธรรพ์
มีขึ้นมีลง ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตัดผ่านความกลัวแห่งการเกิดและการตายแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในจิตรับรู้
ไร้หลักเหมือนนกบนยอดต้นไม้
ไม่เคยมีเวลาได้หยุดพัก ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้สร้างพื้นที่อันปลอดภัยในจิตบ้างแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในลมหายใจที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน
ผันแปรเปลี่ยนไป ราวกับไอหมอกในอากาศ
การเลือนหายไปของมัน ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้เห็นการเคลื่อนไหวจางคลายไปด้วยตัวของมันเองแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองไปยังหมู่เพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่
ประเดี๋ยวประด๋าว ราวกับฝูงชนในตลาดนัด
ครั้นมาเจอกัน ก็ต้องจากกันไป ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตั้งความสัมพันธ์ไว้ในความหมายที่สูงพอแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองไปที่ความมั่งคั่ง อันได้ถูกสะสมไว้ที่นี่
จางใสแทบมองไม่เห็นเหมือนน้ำผึ้ง
ใครจะมามีสุขกับสิ่งของของเธอ ทำให้ใจอึดอัดสับสน
ทว่าเธอได้เปิดขุมทรัพย์ล้ำค่าแห่งใจตนแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ...
มิลาเรปะ
แปลโดย วิจักขณ์ พานิช
As Metaphors of Impermanence
Look there at all the objects appearing outside,
Fleeting visions, like last night’s dream.
When you recall they’re dream-like, these delusions make your mind uneasy.
Have you cut delusion at the root, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at your body,
Transitory like a city of ghandharvas,
Its rising and falling make your mind uneasy.
Have you cut through [the fear of] birth and death, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at the perceiving mind,
Fugitive like a bird in the crest of a tree,
So restless its makes your mind uneasy.
Have you taken a hold of mind’s secure ground, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at the breath moving inside,
It’s impermanent like mist in the air.
The fading and passing of mist makes your mind uneasy.
Have you seen movement vanish on its own, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking at these friends assembled here,
They’re transient like crowds at a fair.
Once gathered, they’re sure to part, making your mind uneasy.
Have you set relations on a higher level, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking at the wealth collected here,
Evanescent like honey of the bees,
Someone else enjoying your things make your mind uneasy.
Have you opened the treasure of mind itself, Rechungpa?
When I reflect on this, the sublime Dharma comes to mind.
มายาแห่งความไม่เที่ยงทั้งหก
มองออกไป ยังวัตถุที่ปรากฏอยู่ภายนอก
ภาพซึ่งพริบตาเดียวก็หายวับไป ราวกับภาพฝันในคืนก่อน
เมื่อใดที่เธอระลึกได้ ช่างทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตัดภาพลวงตาที่รากของมันแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในร่างกายที่ยาววาหนาคืบ
ปราศจากความยั่งยืนถาวร เหมือนนครแห่งคนธรรพ์
มีขึ้นมีลง ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตัดผ่านความกลัวแห่งการเกิดและการตายแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในจิตรับรู้
ไร้หลักเหมือนนกบนยอดต้นไม้
ไม่เคยมีเวลาได้หยุดพัก ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้สร้างพื้นที่อันปลอดภัยในจิตบ้างแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในลมหายใจที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน
ผันแปรเปลี่ยนไป ราวกับไอหมอกในอากาศ
การเลือนหายไปของมัน ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้เห็นการเคลื่อนไหวจางคลายไปด้วยตัวของมันเองแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองไปยังหมู่เพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่
ประเดี๋ยวประด๋าว ราวกับฝูงชนในตลาดนัด
ครั้นมาเจอกัน ก็ต้องจากกันไป ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตั้งความสัมพันธ์ไว้ในความหมายที่สูงพอแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองไปที่ความมั่งคั่ง อันได้ถูกสะสมไว้ที่นี่
จางใสแทบมองไม่เห็นเหมือนน้ำผึ้ง
ใครจะมามีสุขกับสิ่งของของเธอ ทำให้ใจอึดอัดสับสน
ทว่าเธอได้เปิดขุมทรัพย์ล้ำค่าแห่งใจตนแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ...
มิลาเรปะ
แปลโดย วิจักขณ์ พานิช
28.10.09
ชีวิตกับความรุนแรง
ชื่องานดูน่ากลัว แต่ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกจากใจตัวเองในบางที
มารู้จักแขกของบ้านตีโลปะ อัญชลี คุรุธัช
อดีตประธานองค์กรพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพโลก
(Buddhist Peace Fellowship)
กับประสบการณ์การทำงาน เพื่อผู้ลี้ภัย ชนกลุ่มน้อย
และผู้ถูกกดขี่ข่มเหง มากว่า ๒๐ ปี
บ้านรับน้ำหนักได้จำกัด เพียง ๒๐ คนเท่านั้น
สำรองที่นั่งด้วยตนเองวันนี้ ขอทีอย่าเหน็บใครมา
บอกกันไว้ล่วงหน้า
ที่ refish@tilopahouse.com
รายละเอียดเพิ่มเติม>>
มารู้จักแขกของบ้านตีโลปะ อัญชลี คุรุธัช
อดีตประธานองค์กรพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพโลก
(Buddhist Peace Fellowship)
กับประสบการณ์การทำงาน เพื่อผู้ลี้ภัย ชนกลุ่มน้อย
และผู้ถูกกดขี่ข่มเหง มากว่า ๒๐ ปี
บ้านรับน้ำหนักได้จำกัด เพียง ๒๐ คนเท่านั้น
สำรองที่นั่งด้วยตนเองวันนี้ ขอทีอย่าเหน็บใครมา
บอกกันไว้ล่วงหน้า
ที่ refish@tilopahouse.com
รายละเอียดเพิ่มเติม>>
21.10.09
เสียงเพรียกจากผืนดิน





is it a good retreat?
is it a bad retreat?
is there gonna be a better retreat?
or better gurus out there?
how about a perfect path?
with powerful meditation techniques?
a great lineage of the awakened ones?
have you received great teachings?
great meditative experiece?
great wisdom?
or a great life?
all seems to appear simplier than that.
in an easy life,
an easy path,
an easy way,...the sacred way.
only you take deep roots into the earth,
the unconditional space of the earth.
...
and begin
to connect.
"ชีวิตง่ายๆ"/ "ภาวนากับผืนดิน"
กับ โจน จันใด และ วิจักขณ์ พานิช
๙ - ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๒
สวนพันพรรณ, แม่แตง
เชียงใหม่
3.10.09
จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๒
เริ่มต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาด้วย “น้อมใจรับใช้ผืนดิน” งานฝึกอบรมที่ผมทำคู่กับพี่เล็ก ปรีดา เต็มๆเป็นครั้งแรก กิจกรรมภาวนาควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจประเด็นทางสังคม ตระหนักถึงพลังชีวิตจากการทำงานด้านใน ฝึกจิตฝึกใจของเราแต่ละคน ที่ผลิล้นออกมาเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตร่วมกับผู้คนในสังคมในแบบของเราเอง “ไม่ใช่ข้างนอก” ที่การทำงานเพื่อสังคมไม่ได้ทำไปเพื่อหวังผลใดๆในการเสริมสร้างตัวตน แม้แต่ความเป็นคนดีมีคุณค่า หรือ ผู้ทำประโยชน์แก่สังคม และ “ไม่ใช่ข้างใน” ที่การฝึกใจไม่ได้เป็นไปอย่างหมกมุ่น ดูจิต แก้กรรม ทำกุศล จนเลยเถิดกลายเป็นการสร้างอัตตาทางจิตวิญญาณที่ก้าวร้าวแยกขาดจากความอ่อนน้อมต่อโลก
กิจกรรมการออกไปจาริกดูใจในสถานการณ์จริง วางใจในความเป็นไปอันแสนโกลาหล และตระหนักถึงข้อจำกัดในตัวเราที่กั้นขวางจากการ “น้อมใจ” ต่อผู้คนได้อย่างธรรมดาสามัญ สถานะ การศึกษา ภาษา ท่าที บุคลิก คุณค่า ความเชื่อ ความกลัว ความคาดหวัง... สิ่งละอันพันละน้อยที่เราเกี่ยวเกาะขึ้นเป็นตัวเรา ยึดแน่นจนไม่สามารถปล่อยสู่ความเปลือยเปล่าในสถานการณ์การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตรงหน้าได้อย่างแท้จริง
น้อมใจรับใช้ผืนดิน นำคำถามง่ายๆที่ว่าเราแต่ละคนเกิดมาทำไมในผืนดินนี้ และเราศิโรราบให้กับการเกิดมาเหยียบอยู่บนผืนดินนี้จริงๆแล้วหรือ กับเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนที่ได้เสกสร้างสีสันอันหลากหลายตามแต่เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตที่มีสุขทุกข์ มีความงามและความมืดหม่นที่เปลี่ยนแปลงพลิกผลันได้ในพริบตาเดียว และนั่นคือชีวิตกับการภาวนา กับการน้อมนำทุกประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งของการสัมพันธ์ต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย และเข้าใจธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายที่ไม่จบไม่สิ้น
ท่ามกลางความโหยหาทางจิตวิญญาณในสังคมไทยที่คุกรุ่นเสียเหลือเกิน ลัทธิ ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณแปลกใหม่ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด เราจะวางใจกันอย่างไร เราจะมีใครหรือสิ่งใดเป็นที่พึ่ง อะไรถูก อะไรผิด อะไรแท้ อะไรเทียม ก่อนที่จะไปถึงคำถามเหล่านั้น พื้นฐานของการน้อมใจลงสัมผัสดิน จริงใจและสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่ตนเองเป็น น่าจะเป็นพื้นฐานที่ผู้ฝึกทุกคนควรสดับรับฟัง เสียงภายในที่จริงแท้อันปราศจากการเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดภายนอกอันเป็นสมมติ นอกจากผืนดินอันเป็นเนื้อเป็นตัว และผืนฟ้าอันเปิดกว้างเสมอเพียงสองตีนเราสัมผัสพื้นขณะที่ก้าว จริงอยู่ที่ว่าศรัทธาคือกำลัง แต่พึงจำไว้เสมอว่า ศรัทธาในทุกประสบการณ์ชีวิตอันเป็นภาพสะท้อนของจิต คือ ศรัทธาสูงสุดที่ผู้ปฏิบัติพึงมี ส่วนเทคนิควิธีการมีไว้เพียงเพื่อให้เราอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราได้ก็เท่านั้น
การแลกเปลี่ยนสื่อสารเรื่องราวทางจิตวิญญาณจากประสบการณ์ตรงก็ยังคงดำเนินกันต่อไป เป็นไปอย่างที่เป็นไป ทุกอย่างก็คงทำเท่าที่ทำได้ ไม่น้อยไม่มากเกินกว่าที่พื้นที่ของใจจะพอเปิดรับ
บ้านตีโลปะ ๑๐๘ /๑
๒ ตุลาคม ๕๒
______________________________
-ข่าวฝากจากมณฑลวัชรปัญญา และบ้านตีโลปะ-
๑. ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ง่ายงามในความธรรมดา" กับ วิจักขณ์ พานิช คอร์สภาวนาระยะสั้น ๒ วัน สำหรับคนทำงาน เรียนรู้พื้นฐานการภาวนาและปรับทัศนคติต่อการเดินทางด้านในให้อ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น สมัครได้ที่เสมสิกขาลัย 02-314 7385 ถึง 6 หรือ semsikkha_ram@yahoo.com รับเพียง ๓๐ ท่านเท่านั้น
๒. ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ชีวิตกับความรุนแรง" กับ อัญชลี คุรุธัช (และ วิจักขณ์ พานิช) ณ บ้านตีโลปะ
มาเปิดใจร่วมกันเรียนรู้และใคร่ครวญถึงปัญหาการใชัความรุนแรงกับคนใกล้ตัว ฟังเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่ถูกทำร้าย เห็นถึงความเข้มแข็งของพวกเขาในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความปลอดภัย และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทำความเข้าใจกับลักษณะและรูปแบบของความรุนแรง รวมทั้งผลกระทบที่ความรุนแรงเหล่านี้มีต่อเด็ก ชุมชน และสังคม จากประสบการณ์การทำงานเพื่อผู้ลี้ภัย ผู้คนด้อยโอกาส และผู้ประสบเคราะห์กรรม ของวิทยากร คุณอัญชลี คุรุธัช อดีตประธาน Buddhist Peace Fellowship (BPF)
๓. อ่านบทสัมภาษณ์ "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์: บนหนทางภาวนาของวิจักขณ์ พานิช" ในสานแสงอรุณ ฉบับเดือนก.ย.-ต.ค. ศกนี้
กิจกรรมการออกไปจาริกดูใจในสถานการณ์จริง วางใจในความเป็นไปอันแสนโกลาหล และตระหนักถึงข้อจำกัดในตัวเราที่กั้นขวางจากการ “น้อมใจ” ต่อผู้คนได้อย่างธรรมดาสามัญ สถานะ การศึกษา ภาษา ท่าที บุคลิก คุณค่า ความเชื่อ ความกลัว ความคาดหวัง... สิ่งละอันพันละน้อยที่เราเกี่ยวเกาะขึ้นเป็นตัวเรา ยึดแน่นจนไม่สามารถปล่อยสู่ความเปลือยเปล่าในสถานการณ์การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตรงหน้าได้อย่างแท้จริง
น้อมใจรับใช้ผืนดิน นำคำถามง่ายๆที่ว่าเราแต่ละคนเกิดมาทำไมในผืนดินนี้ และเราศิโรราบให้กับการเกิดมาเหยียบอยู่บนผืนดินนี้จริงๆแล้วหรือ กับเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนที่ได้เสกสร้างสีสันอันหลากหลายตามแต่เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตที่มีสุขทุกข์ มีความงามและความมืดหม่นที่เปลี่ยนแปลงพลิกผลันได้ในพริบตาเดียว และนั่นคือชีวิตกับการภาวนา กับการน้อมนำทุกประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งของการสัมพันธ์ต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย และเข้าใจธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายที่ไม่จบไม่สิ้น
ท่ามกลางความโหยหาทางจิตวิญญาณในสังคมไทยที่คุกรุ่นเสียเหลือเกิน ลัทธิ ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณแปลกใหม่ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด เราจะวางใจกันอย่างไร เราจะมีใครหรือสิ่งใดเป็นที่พึ่ง อะไรถูก อะไรผิด อะไรแท้ อะไรเทียม ก่อนที่จะไปถึงคำถามเหล่านั้น พื้นฐานของการน้อมใจลงสัมผัสดิน จริงใจและสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่ตนเองเป็น น่าจะเป็นพื้นฐานที่ผู้ฝึกทุกคนควรสดับรับฟัง เสียงภายในที่จริงแท้อันปราศจากการเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดภายนอกอันเป็นสมมติ นอกจากผืนดินอันเป็นเนื้อเป็นตัว และผืนฟ้าอันเปิดกว้างเสมอเพียงสองตีนเราสัมผัสพื้นขณะที่ก้าว จริงอยู่ที่ว่าศรัทธาคือกำลัง แต่พึงจำไว้เสมอว่า ศรัทธาในทุกประสบการณ์ชีวิตอันเป็นภาพสะท้อนของจิต คือ ศรัทธาสูงสุดที่ผู้ปฏิบัติพึงมี ส่วนเทคนิควิธีการมีไว้เพียงเพื่อให้เราอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราได้ก็เท่านั้น
การแลกเปลี่ยนสื่อสารเรื่องราวทางจิตวิญญาณจากประสบการณ์ตรงก็ยังคงดำเนินกันต่อไป เป็นไปอย่างที่เป็นไป ทุกอย่างก็คงทำเท่าที่ทำได้ ไม่น้อยไม่มากเกินกว่าที่พื้นที่ของใจจะพอเปิดรับ
บ้านตีโลปะ ๑๐๘ /๑
๒ ตุลาคม ๕๒
______________________________
-ข่าวฝากจากมณฑลวัชรปัญญา และบ้านตีโลปะ-
๑. ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ง่ายงามในความธรรมดา" กับ วิจักขณ์ พานิช คอร์สภาวนาระยะสั้น ๒ วัน สำหรับคนทำงาน เรียนรู้พื้นฐานการภาวนาและปรับทัศนคติต่อการเดินทางด้านในให้อ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น สมัครได้ที่เสมสิกขาลัย 02-314 7385 ถึง 6 หรือ semsikkha_ram@yahoo.com รับเพียง ๓๐ ท่านเท่านั้น
๒. ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ชีวิตกับความรุนแรง" กับ อัญชลี คุรุธัช (และ วิจักขณ์ พานิช) ณ บ้านตีโลปะ
มาเปิดใจร่วมกันเรียนรู้และใคร่ครวญถึงปัญหาการใชัความรุนแรงกับคนใกล้ตัว ฟังเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่ถูกทำร้าย เห็นถึงความเข้มแข็งของพวกเขาในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความปลอดภัย และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทำความเข้าใจกับลักษณะและรูปแบบของความรุนแรง รวมทั้งผลกระทบที่ความรุนแรงเหล่านี้มีต่อเด็ก ชุมชน และสังคม จากประสบการณ์การทำงานเพื่อผู้ลี้ภัย ผู้คนด้อยโอกาส และผู้ประสบเคราะห์กรรม ของวิทยากร คุณอัญชลี คุรุธัช อดีตประธาน Buddhist Peace Fellowship (BPF)
๓. อ่านบทสัมภาษณ์ "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์: บนหนทางภาวนาของวิจักขณ์ พานิช" ในสานแสงอรุณ ฉบับเดือนก.ย.-ต.ค. ศกนี้
Subscribe to:
Posts (Atom)