ขอบคุณสำหรับทุกชีวิตที่ร่วมสรรค์สร้างบ้านตีโลปะขึ้นมาคนละเล็กละน้อยจนเป็นภาพอย่างที่ปรากฏ
ขอบคุณท่านตรุงปะ เร้จจี้ และลี และธรรมาจารย์ในสายธรรมทุกท่าน ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของบ้านหลังนี้
พ่อและแม่ สำหรับความเกื้อหนุนและความเสียสละ ที่มอบบ้านหลังนี้ให้เป็นสถานที่สำหรับผู้ประพฤติธรรม
อาจารย์สุลักษณ์ สำหรับความรักและกำลังใจ ที่คอยไถ่ถามถึงความเป็นไปของบ้านหลังนี้อยู่ตลอด ขอบคุณอาจารย์ที่ให้เกียรติมาเจิมบ้าน และนำพาเอาพลังที่ดีงามเป็นจุดเริ่มต้นให้แก่บ้านตีโลปะ
นภา สำหรับแรงกายและแรงใจ การอุทิศตนโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน และความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆอย่างที่ไม่สามารถหาใครมาเสมอเหมือนได้ บ้านหลังนี้คงไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างได้หากปราศจากสิ่งที่นภามอบให้ด้วยชีวิต ขอบคุณสำหรับเว็บไซต์ที่งามเป็นที่สุด
พี่ต้อง และป้าจิตร สำหรับไม้จากบ้านลาดพร้าว ที่นำมาใช้สร้างบ้านทั้งหลัง
พี่หนึ่ง สำหรับมิตรภาพและกำลังใจ และสองเดือนที่ช่วยดูแลการก่อสร้างบ้านระหว่างที่ผมไปต่างประเทศ สำหรับสีบ้านอันจัดจ้าน ที่่โดนใจจนใจสั่น สำหรับการช่วยย้ายของไปมาหลายต่อหลายรอบ สำหรับการโอบอุ้มในช่วงเวลาที่ปลาไม่กระโดด และกำลังจะจมน้ำ
น้ำ และแอน สำหรับงานออกแบบบ้าน ที่ต้องอาศัยความอดทนต่อความเรื่องมากของเจ้าบ้านอย่างถึงที่สุด ขอบคุณน้ำที่แวะมาเยือนและดูรายละเอียดเล็กน้อยให้บ้านตีโลปะจนเสร็จสิ้น
พี่ยุทธ สำหรับความเต็มใจ เต็มกาย และความอดทนตลอดหลายเดือนที่มีให้กับบ้านตีโลปะ ดีใจมากที่ได้พี่ยุทธเป็นผู้คุมงานสร้างบ้านหลังนี้ หวังว่าวันหนึ่งบ้านคงจะได้ต้อนรับน้องผิงอัน และพี่นุชด้วย ขอบคุณต๋อ ที่มาช่วยดูรายละเอียดในช่วงที่พี่ยุทธไปทำหน้าที่พ่อ
ทีมช่างแสนประเสริฐ พี่จักร ลุงเบิ้ม พี่ชวน พี่เบิ่ง พี่ป๊อด พี่ต้อย และคณะ สำหรับทุกรายละเอียดของบ้าน ขอบคุณสำหรับมิตรภาพ ประสบการณ์ และความหมายของชีวิตมากมาย ที่ผมได้เรียนรู้จากการที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพี่ตลอดการสร้างบ้านหลังนี้ ขอบคุณต้นตะเบบูย่าเหลืองสองต้นที่พี่จักรหอบมาฝากจากนครนายก และขอบคุณที่ให้ได้รู้จักรสชาติของใบกระท่อม
เอ็ม และติ สำหรับการมาช่วยจัดบ้าน ทำความสะอาดบ้าน และเตรียมงาน อย่างไม่มีปริปากบ่น ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารออกมาด้วยคำพูดหวานๆ
คุณแม่ของนภา สำหรับการช่วยเย็บผ้าเบาะที่งดงามอย่างเรียบง่าย
พี่เหมียว เพื่อนบ้านที่แสนดี สำหรับการช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ยามที่ไม่มีใครอยู่บ้าน
พี่อัญชลี สำหรับการให้เกียรติมาเป็นแขกคนแรกของบ้าน และแรงใจที่เกื้อหนุน
พี่หลิ่ง สำหรับผ้าเบาะลายผ้าถุง ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับห้องปฏิบัติ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ กำลังใจ และการช่วยเหลือให้คำปรึกษาทางจิต ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่งอกงามอย่างรวดเร็วในช่วงไม่นานที่ได้รู้จักกัน
ขอบคุณแขกทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยือนและมอบพลังที่ดีงามให้กับบ้าน และพลังใจอีกมากมายร้อยแปดจากทั่วทุกสารทิศที่ไม่สามารถกล่าวได้หมดสิ้นในที่นี้
และท้ายที่สุด ขอบคุณเยเช ที่จะอยู่ในใจพ่อตลอดไปในทุกหลืบมุมของบ้านหลังนี้ ...
ติดตามการเดินทางบทต่อไปของบ้านได้ที่
http://www.tilopahouse.com
20.11.09
19.11.09
2.11.09
จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๒
Six Illusions
As Metaphors of Impermanence
Look there at all the objects appearing outside,
Fleeting visions, like last night’s dream.
When you recall they’re dream-like, these delusions make your mind uneasy.
Have you cut delusion at the root, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at your body,
Transitory like a city of ghandharvas,
Its rising and falling make your mind uneasy.
Have you cut through [the fear of] birth and death, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at the perceiving mind,
Fugitive like a bird in the crest of a tree,
So restless its makes your mind uneasy.
Have you taken a hold of mind’s secure ground, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at the breath moving inside,
It’s impermanent like mist in the air.
The fading and passing of mist makes your mind uneasy.
Have you seen movement vanish on its own, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking at these friends assembled here,
They’re transient like crowds at a fair.
Once gathered, they’re sure to part, making your mind uneasy.
Have you set relations on a higher level, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking at the wealth collected here,
Evanescent like honey of the bees,
Someone else enjoying your things make your mind uneasy.
Have you opened the treasure of mind itself, Rechungpa?
When I reflect on this, the sublime Dharma comes to mind.
มายาแห่งความไม่เที่ยงทั้งหก
มองออกไป ยังวัตถุที่ปรากฏอยู่ภายนอก
ภาพซึ่งพริบตาเดียวก็หายวับไป ราวกับภาพฝันในคืนก่อน
เมื่อใดที่เธอระลึกได้ ช่างทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตัดภาพลวงตาที่รากของมันแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในร่างกายที่ยาววาหนาคืบ
ปราศจากความยั่งยืนถาวร เหมือนนครแห่งคนธรรพ์
มีขึ้นมีลง ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตัดผ่านความกลัวแห่งการเกิดและการตายแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในจิตรับรู้
ไร้หลักเหมือนนกบนยอดต้นไม้
ไม่เคยมีเวลาได้หยุดพัก ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้สร้างพื้นที่อันปลอดภัยในจิตบ้างแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในลมหายใจที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน
ผันแปรเปลี่ยนไป ราวกับไอหมอกในอากาศ
การเลือนหายไปของมัน ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้เห็นการเคลื่อนไหวจางคลายไปด้วยตัวของมันเองแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองไปยังหมู่เพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่
ประเดี๋ยวประด๋าว ราวกับฝูงชนในตลาดนัด
ครั้นมาเจอกัน ก็ต้องจากกันไป ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตั้งความสัมพันธ์ไว้ในความหมายที่สูงพอแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองไปที่ความมั่งคั่ง อันได้ถูกสะสมไว้ที่นี่
จางใสแทบมองไม่เห็นเหมือนน้ำผึ้ง
ใครจะมามีสุขกับสิ่งของของเธอ ทำให้ใจอึดอัดสับสน
ทว่าเธอได้เปิดขุมทรัพย์ล้ำค่าแห่งใจตนแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ...
มิลาเรปะ
แปลโดย วิจักขณ์ พานิช
As Metaphors of Impermanence
Look there at all the objects appearing outside,
Fleeting visions, like last night’s dream.
When you recall they’re dream-like, these delusions make your mind uneasy.
Have you cut delusion at the root, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at your body,
Transitory like a city of ghandharvas,
Its rising and falling make your mind uneasy.
Have you cut through [the fear of] birth and death, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at the perceiving mind,
Fugitive like a bird in the crest of a tree,
So restless its makes your mind uneasy.
Have you taken a hold of mind’s secure ground, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking inward at the breath moving inside,
It’s impermanent like mist in the air.
The fading and passing of mist makes your mind uneasy.
Have you seen movement vanish on its own, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking at these friends assembled here,
They’re transient like crowds at a fair.
Once gathered, they’re sure to part, making your mind uneasy.
Have you set relations on a higher level, Rechungpa?
When I reflect on this, sublime Dharma comes to mind.
When looking at the wealth collected here,
Evanescent like honey of the bees,
Someone else enjoying your things make your mind uneasy.
Have you opened the treasure of mind itself, Rechungpa?
When I reflect on this, the sublime Dharma comes to mind.
มายาแห่งความไม่เที่ยงทั้งหก
มองออกไป ยังวัตถุที่ปรากฏอยู่ภายนอก
ภาพซึ่งพริบตาเดียวก็หายวับไป ราวกับภาพฝันในคืนก่อน
เมื่อใดที่เธอระลึกได้ ช่างทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตัดภาพลวงตาที่รากของมันแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในร่างกายที่ยาววาหนาคืบ
ปราศจากความยั่งยืนถาวร เหมือนนครแห่งคนธรรพ์
มีขึ้นมีลง ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตัดผ่านความกลัวแห่งการเกิดและการตายแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในจิตรับรู้
ไร้หลักเหมือนนกบนยอดต้นไม้
ไม่เคยมีเวลาได้หยุดพัก ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้สร้างพื้นที่อันปลอดภัยในจิตบ้างแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองเข้าไปในลมหายใจที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน
ผันแปรเปลี่ยนไป ราวกับไอหมอกในอากาศ
การเลือนหายไปของมัน ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้เห็นการเคลื่อนไหวจางคลายไปด้วยตัวของมันเองแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองไปยังหมู่เพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่
ประเดี๋ยวประด๋าว ราวกับฝูงชนในตลาดนัด
ครั้นมาเจอกัน ก็ต้องจากกันไป ทำให้ใจอึดอัดสับสน
เธอได้ตั้งความสัมพันธ์ไว้ในความหมายที่สูงพอแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ
เมื่อใดที่มองไปที่ความมั่งคั่ง อันได้ถูกสะสมไว้ที่นี่
จางใสแทบมองไม่เห็นเหมือนน้ำผึ้ง
ใครจะมามีสุขกับสิ่งของของเธอ ทำให้ใจอึดอัดสับสน
ทว่าเธอได้เปิดขุมทรัพย์ล้ำค่าแห่งใจตนแล้วหรือยัง เรชุงปะ
เมื่อฉันได้สะท้อนถึงสิ่งนี้ ธรรมะอันลึกซึ้งเอ่อล้นขึ้นในใจ...
มิลาเรปะ
แปลโดย วิจักขณ์ พานิช
28.10.09
ชีวิตกับความรุนแรง
ชื่องานดูน่ากลัว แต่ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกจากใจตัวเองในบางที
มารู้จักแขกของบ้านตีโลปะ อัญชลี คุรุธัช
อดีตประธานองค์กรพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพโลก
(Buddhist Peace Fellowship)
กับประสบการณ์การทำงาน เพื่อผู้ลี้ภัย ชนกลุ่มน้อย
และผู้ถูกกดขี่ข่มเหง มากว่า ๒๐ ปี
บ้านรับน้ำหนักได้จำกัด เพียง ๒๐ คนเท่านั้น
สำรองที่นั่งด้วยตนเองวันนี้ ขอทีอย่าเหน็บใครมา
บอกกันไว้ล่วงหน้า
ที่ refish@tilopahouse.com
รายละเอียดเพิ่มเติม>>
มารู้จักแขกของบ้านตีโลปะ อัญชลี คุรุธัช
อดีตประธานองค์กรพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพโลก
(Buddhist Peace Fellowship)
กับประสบการณ์การทำงาน เพื่อผู้ลี้ภัย ชนกลุ่มน้อย
และผู้ถูกกดขี่ข่มเหง มากว่า ๒๐ ปี
บ้านรับน้ำหนักได้จำกัด เพียง ๒๐ คนเท่านั้น
สำรองที่นั่งด้วยตนเองวันนี้ ขอทีอย่าเหน็บใครมา
บอกกันไว้ล่วงหน้า
ที่ refish@tilopahouse.com
รายละเอียดเพิ่มเติม>>
21.10.09
เสียงเพรียกจากผืนดิน





is it a good retreat?
is it a bad retreat?
is there gonna be a better retreat?
or better gurus out there?
how about a perfect path?
with powerful meditation techniques?
a great lineage of the awakened ones?
have you received great teachings?
great meditative experiece?
great wisdom?
or a great life?
all seems to appear simplier than that.
in an easy life,
an easy path,
an easy way,...the sacred way.
only you take deep roots into the earth,
the unconditional space of the earth.
...
and begin
to connect.
"ชีวิตง่ายๆ"/ "ภาวนากับผืนดิน"
กับ โจน จันใด และ วิจักขณ์ พานิช
๙ - ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๒
สวนพันพรรณ, แม่แตง
เชียงใหม่
3.10.09
จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๒
เริ่มต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาด้วย “น้อมใจรับใช้ผืนดิน” งานฝึกอบรมที่ผมทำคู่กับพี่เล็ก ปรีดา เต็มๆเป็นครั้งแรก กิจกรรมภาวนาควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจประเด็นทางสังคม ตระหนักถึงพลังชีวิตจากการทำงานด้านใน ฝึกจิตฝึกใจของเราแต่ละคน ที่ผลิล้นออกมาเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตร่วมกับผู้คนในสังคมในแบบของเราเอง “ไม่ใช่ข้างนอก” ที่การทำงานเพื่อสังคมไม่ได้ทำไปเพื่อหวังผลใดๆในการเสริมสร้างตัวตน แม้แต่ความเป็นคนดีมีคุณค่า หรือ ผู้ทำประโยชน์แก่สังคม และ “ไม่ใช่ข้างใน” ที่การฝึกใจไม่ได้เป็นไปอย่างหมกมุ่น ดูจิต แก้กรรม ทำกุศล จนเลยเถิดกลายเป็นการสร้างอัตตาทางจิตวิญญาณที่ก้าวร้าวแยกขาดจากความอ่อนน้อมต่อโลก
กิจกรรมการออกไปจาริกดูใจในสถานการณ์จริง วางใจในความเป็นไปอันแสนโกลาหล และตระหนักถึงข้อจำกัดในตัวเราที่กั้นขวางจากการ “น้อมใจ” ต่อผู้คนได้อย่างธรรมดาสามัญ สถานะ การศึกษา ภาษา ท่าที บุคลิก คุณค่า ความเชื่อ ความกลัว ความคาดหวัง... สิ่งละอันพันละน้อยที่เราเกี่ยวเกาะขึ้นเป็นตัวเรา ยึดแน่นจนไม่สามารถปล่อยสู่ความเปลือยเปล่าในสถานการณ์การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตรงหน้าได้อย่างแท้จริง
น้อมใจรับใช้ผืนดิน นำคำถามง่ายๆที่ว่าเราแต่ละคนเกิดมาทำไมในผืนดินนี้ และเราศิโรราบให้กับการเกิดมาเหยียบอยู่บนผืนดินนี้จริงๆแล้วหรือ กับเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนที่ได้เสกสร้างสีสันอันหลากหลายตามแต่เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตที่มีสุขทุกข์ มีความงามและความมืดหม่นที่เปลี่ยนแปลงพลิกผลันได้ในพริบตาเดียว และนั่นคือชีวิตกับการภาวนา กับการน้อมนำทุกประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งของการสัมพันธ์ต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย และเข้าใจธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายที่ไม่จบไม่สิ้น
ท่ามกลางความโหยหาทางจิตวิญญาณในสังคมไทยที่คุกรุ่นเสียเหลือเกิน ลัทธิ ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณแปลกใหม่ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด เราจะวางใจกันอย่างไร เราจะมีใครหรือสิ่งใดเป็นที่พึ่ง อะไรถูก อะไรผิด อะไรแท้ อะไรเทียม ก่อนที่จะไปถึงคำถามเหล่านั้น พื้นฐานของการน้อมใจลงสัมผัสดิน จริงใจและสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่ตนเองเป็น น่าจะเป็นพื้นฐานที่ผู้ฝึกทุกคนควรสดับรับฟัง เสียงภายในที่จริงแท้อันปราศจากการเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดภายนอกอันเป็นสมมติ นอกจากผืนดินอันเป็นเนื้อเป็นตัว และผืนฟ้าอันเปิดกว้างเสมอเพียงสองตีนเราสัมผัสพื้นขณะที่ก้าว จริงอยู่ที่ว่าศรัทธาคือกำลัง แต่พึงจำไว้เสมอว่า ศรัทธาในทุกประสบการณ์ชีวิตอันเป็นภาพสะท้อนของจิต คือ ศรัทธาสูงสุดที่ผู้ปฏิบัติพึงมี ส่วนเทคนิควิธีการมีไว้เพียงเพื่อให้เราอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราได้ก็เท่านั้น
การแลกเปลี่ยนสื่อสารเรื่องราวทางจิตวิญญาณจากประสบการณ์ตรงก็ยังคงดำเนินกันต่อไป เป็นไปอย่างที่เป็นไป ทุกอย่างก็คงทำเท่าที่ทำได้ ไม่น้อยไม่มากเกินกว่าที่พื้นที่ของใจจะพอเปิดรับ
บ้านตีโลปะ ๑๐๘ /๑
๒ ตุลาคม ๕๒
______________________________
-ข่าวฝากจากมณฑลวัชรปัญญา และบ้านตีโลปะ-
๑. ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ง่ายงามในความธรรมดา" กับ วิจักขณ์ พานิช คอร์สภาวนาระยะสั้น ๒ วัน สำหรับคนทำงาน เรียนรู้พื้นฐานการภาวนาและปรับทัศนคติต่อการเดินทางด้านในให้อ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น สมัครได้ที่เสมสิกขาลัย 02-314 7385 ถึง 6 หรือ semsikkha_ram@yahoo.com รับเพียง ๓๐ ท่านเท่านั้น
๒. ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ชีวิตกับความรุนแรง" กับ อัญชลี คุรุธัช (และ วิจักขณ์ พานิช) ณ บ้านตีโลปะ
มาเปิดใจร่วมกันเรียนรู้และใคร่ครวญถึงปัญหาการใชัความรุนแรงกับคนใกล้ตัว ฟังเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่ถูกทำร้าย เห็นถึงความเข้มแข็งของพวกเขาในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความปลอดภัย และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทำความเข้าใจกับลักษณะและรูปแบบของความรุนแรง รวมทั้งผลกระทบที่ความรุนแรงเหล่านี้มีต่อเด็ก ชุมชน และสังคม จากประสบการณ์การทำงานเพื่อผู้ลี้ภัย ผู้คนด้อยโอกาส และผู้ประสบเคราะห์กรรม ของวิทยากร คุณอัญชลี คุรุธัช อดีตประธาน Buddhist Peace Fellowship (BPF)
๓. อ่านบทสัมภาษณ์ "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์: บนหนทางภาวนาของวิจักขณ์ พานิช" ในสานแสงอรุณ ฉบับเดือนก.ย.-ต.ค. ศกนี้
กิจกรรมการออกไปจาริกดูใจในสถานการณ์จริง วางใจในความเป็นไปอันแสนโกลาหล และตระหนักถึงข้อจำกัดในตัวเราที่กั้นขวางจากการ “น้อมใจ” ต่อผู้คนได้อย่างธรรมดาสามัญ สถานะ การศึกษา ภาษา ท่าที บุคลิก คุณค่า ความเชื่อ ความกลัว ความคาดหวัง... สิ่งละอันพันละน้อยที่เราเกี่ยวเกาะขึ้นเป็นตัวเรา ยึดแน่นจนไม่สามารถปล่อยสู่ความเปลือยเปล่าในสถานการณ์การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตรงหน้าได้อย่างแท้จริง
น้อมใจรับใช้ผืนดิน นำคำถามง่ายๆที่ว่าเราแต่ละคนเกิดมาทำไมในผืนดินนี้ และเราศิโรราบให้กับการเกิดมาเหยียบอยู่บนผืนดินนี้จริงๆแล้วหรือ กับเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนที่ได้เสกสร้างสีสันอันหลากหลายตามแต่เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตที่มีสุขทุกข์ มีความงามและความมืดหม่นที่เปลี่ยนแปลงพลิกผลันได้ในพริบตาเดียว และนั่นคือชีวิตกับการภาวนา กับการน้อมนำทุกประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งของการสัมพันธ์ต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย และเข้าใจธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายที่ไม่จบไม่สิ้น
ท่ามกลางความโหยหาทางจิตวิญญาณในสังคมไทยที่คุกรุ่นเสียเหลือเกิน ลัทธิ ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณแปลกใหม่ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด เราจะวางใจกันอย่างไร เราจะมีใครหรือสิ่งใดเป็นที่พึ่ง อะไรถูก อะไรผิด อะไรแท้ อะไรเทียม ก่อนที่จะไปถึงคำถามเหล่านั้น พื้นฐานของการน้อมใจลงสัมผัสดิน จริงใจและสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่ตนเองเป็น น่าจะเป็นพื้นฐานที่ผู้ฝึกทุกคนควรสดับรับฟัง เสียงภายในที่จริงแท้อันปราศจากการเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดภายนอกอันเป็นสมมติ นอกจากผืนดินอันเป็นเนื้อเป็นตัว และผืนฟ้าอันเปิดกว้างเสมอเพียงสองตีนเราสัมผัสพื้นขณะที่ก้าว จริงอยู่ที่ว่าศรัทธาคือกำลัง แต่พึงจำไว้เสมอว่า ศรัทธาในทุกประสบการณ์ชีวิตอันเป็นภาพสะท้อนของจิต คือ ศรัทธาสูงสุดที่ผู้ปฏิบัติพึงมี ส่วนเทคนิควิธีการมีไว้เพียงเพื่อให้เราอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราได้ก็เท่านั้น
การแลกเปลี่ยนสื่อสารเรื่องราวทางจิตวิญญาณจากประสบการณ์ตรงก็ยังคงดำเนินกันต่อไป เป็นไปอย่างที่เป็นไป ทุกอย่างก็คงทำเท่าที่ทำได้ ไม่น้อยไม่มากเกินกว่าที่พื้นที่ของใจจะพอเปิดรับ
บ้านตีโลปะ ๑๐๘ /๑
๒ ตุลาคม ๕๒
______________________________
-ข่าวฝากจากมณฑลวัชรปัญญา และบ้านตีโลปะ-
๑. ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ง่ายงามในความธรรมดา" กับ วิจักขณ์ พานิช คอร์สภาวนาระยะสั้น ๒ วัน สำหรับคนทำงาน เรียนรู้พื้นฐานการภาวนาและปรับทัศนคติต่อการเดินทางด้านในให้อ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น สมัครได้ที่เสมสิกขาลัย 02-314 7385 ถึง 6 หรือ semsikkha_ram@yahoo.com รับเพียง ๓๐ ท่านเท่านั้น
๒. ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ชีวิตกับความรุนแรง" กับ อัญชลี คุรุธัช (และ วิจักขณ์ พานิช) ณ บ้านตีโลปะ
มาเปิดใจร่วมกันเรียนรู้และใคร่ครวญถึงปัญหาการใชัความรุนแรงกับคนใกล้ตัว ฟังเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่ถูกทำร้าย เห็นถึงความเข้มแข็งของพวกเขาในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความปลอดภัย และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทำความเข้าใจกับลักษณะและรูปแบบของความรุนแรง รวมทั้งผลกระทบที่ความรุนแรงเหล่านี้มีต่อเด็ก ชุมชน และสังคม จากประสบการณ์การทำงานเพื่อผู้ลี้ภัย ผู้คนด้อยโอกาส และผู้ประสบเคราะห์กรรม ของวิทยากร คุณอัญชลี คุรุธัช อดีตประธาน Buddhist Peace Fellowship (BPF)
๓. อ่านบทสัมภาษณ์ "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์: บนหนทางภาวนาของวิจักขณ์ พานิช" ในสานแสงอรุณ ฉบับเดือนก.ย.-ต.ค. ศกนี้
30.9.09
เผชิญอย่างเทพ
- ในนาทีที่มีปัญหารุมเร้า แต่เรายังต้องให้ความเฮฮากับทุกคนอยู่ ณ ตรงนั้นปรับเปลี่ยนความรู้สึกอย่างไร?
ไม่รู้ ให้ตายห่าเลย ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย รู้ก็รู้ว่าปัญหารออยู่ข้างหลัง แต่เราก็เชื่อในคำพระท่านว่า "เมื่อสติมา ปัญญาเกิด" ใจเย็นๆไว้ ปัญหาจะเข้ามาชนก็ชนไป ปังๆ หลบหลีกบ้าง ล้มบ้างก็ได้ เดี๋ยวเราก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ทุกอย่างในโลกมันไม่จริง เป็นของปลอมๆหมด ปัญหา ชีวิต ทุกข์ ผิดพลาดไปก็แก้ไขไปเดี๋ยวก็จบ ยกตัวอย่างว่า มึงจะฟ้องกูล้มละลาย ก็ฟ้องไป เป็นแค่คำที่ให้มา เดี๋ยวก็แก้ไขได้ ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรมาก เคลียร์กันสิ เราก็ไม่ได้หนีหายไปไหน
- พวกพ้อง พ่อแม่พี่น้อง เรามี แต่มนุษย์เราต้องแสวงหาด้วยชีวิตตัวเราเอง
- คนเราคิดมากไปรึเปล่า? พยายามคิดอะไรให้เป็นระบบ หาเรื่องยุ่งมาให้ตัวเองมากไปหรือเปล่า คุณจะรู้เหรอว่าวันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง หรือทำไมต้องเอาเรื่องราวมากมายไปยัดเยียดให้เด็ก อยากถามหน่อยว่าเรารู้เท่ามันเหรอ อย่าเอาความโง่ไปให้เด็กเลย
- เราต้องรู้จักเผื่อใจนะ ว่าเดี๋ยวก็อาจจะเจ็บอีก เพราะไอ้ที่เราเรียนรู้มาแล้วมันแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง อนาคตข้างหน้าใครจะรู้ว่าจะเจออะไรอีก แต่เรื่องทุกอย่างมันลองได้ ถ้าตัวเราคิดว่าดี ก็ทำออกไปเลยร้อยเปอร์เซนต์ คนอื่นจะมองยังไงไม่รู้ ถ้าสิ่งผิดพลาดไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย เราก็คงไม่ได้มาถึงตรงนี้ เงินทองเป็นของนอกกาย กำไรชีวิตสิเก็บไว้ได้!
จาก สัมภาษณ์สุเทพ โพธิ์งาม "ชีวิตที่อยู่อย่างเทพ"
Maxim ตุลาคม ๒๐๐๙
ไม่รู้ ให้ตายห่าเลย ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย รู้ก็รู้ว่าปัญหารออยู่ข้างหลัง แต่เราก็เชื่อในคำพระท่านว่า "เมื่อสติมา ปัญญาเกิด" ใจเย็นๆไว้ ปัญหาจะเข้ามาชนก็ชนไป ปังๆ หลบหลีกบ้าง ล้มบ้างก็ได้ เดี๋ยวเราก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ทุกอย่างในโลกมันไม่จริง เป็นของปลอมๆหมด ปัญหา ชีวิต ทุกข์ ผิดพลาดไปก็แก้ไขไปเดี๋ยวก็จบ ยกตัวอย่างว่า มึงจะฟ้องกูล้มละลาย ก็ฟ้องไป เป็นแค่คำที่ให้มา เดี๋ยวก็แก้ไขได้ ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรมาก เคลียร์กันสิ เราก็ไม่ได้หนีหายไปไหน
- พวกพ้อง พ่อแม่พี่น้อง เรามี แต่มนุษย์เราต้องแสวงหาด้วยชีวิตตัวเราเอง
- คนเราคิดมากไปรึเปล่า? พยายามคิดอะไรให้เป็นระบบ หาเรื่องยุ่งมาให้ตัวเองมากไปหรือเปล่า คุณจะรู้เหรอว่าวันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง หรือทำไมต้องเอาเรื่องราวมากมายไปยัดเยียดให้เด็ก อยากถามหน่อยว่าเรารู้เท่ามันเหรอ อย่าเอาความโง่ไปให้เด็กเลย
- เราต้องรู้จักเผื่อใจนะ ว่าเดี๋ยวก็อาจจะเจ็บอีก เพราะไอ้ที่เราเรียนรู้มาแล้วมันแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง อนาคตข้างหน้าใครจะรู้ว่าจะเจออะไรอีก แต่เรื่องทุกอย่างมันลองได้ ถ้าตัวเราคิดว่าดี ก็ทำออกไปเลยร้อยเปอร์เซนต์ คนอื่นจะมองยังไงไม่รู้ ถ้าสิ่งผิดพลาดไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย เราก็คงไม่ได้มาถึงตรงนี้ เงินทองเป็นของนอกกาย กำไรชีวิตสิเก็บไว้ได้!
จาก สัมภาษณ์สุเทพ โพธิ์งาม "ชีวิตที่อยู่อย่างเทพ"
Maxim ตุลาคม ๒๐๐๙
16.9.09
ฆ่ากันเพราะรัก
คนเราฆ่ากันเพราะความรักได้จริงๆ
รักกันมาก จนถึงจุดที่ว่า
ถ้าฉันไม่ได้หัวใจของเธอมา เธอก็ตายไปเสียดีกว่า
หารู้ไม่ว่า
หัวใจทำได้แค่สัมผัสและให้ความรักความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
หาใช่เป็นที่กักขังความรัก
หรือหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพแห่งความสัมพันธ์ไม่
รักกันมาก จนถึงจุดที่ว่า
ถ้าฉันไม่ได้หัวใจของเธอมา เธอก็ตายไปเสียดีกว่า
หารู้ไม่ว่า
หัวใจทำได้แค่สัมผัสและให้ความรักความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
หาใช่เป็นที่กักขังความรัก
หรือหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพแห่งความสัมพันธ์ไม่
14.9.09
warrior's heart
Subscribe to:
Posts (Atom)