ในปี ๑๙๗๑ ซูซูกิ โรชิ เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน ศิษย์ชาวตะวันตกของซูซูกิในชุดฝึกเสื้อคลุมสีดำ ยืนไว้อาลัยอย่างสงบนิ่ง แม้บางคนจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่พวกเขาก็รวบรวมสติเผชิญกับอนิจจลักษณะของชีวิตได้อย่างคู่ควรแก่กาลเทศะ ทว่าไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ ชายร่างเล็กในชุดสูทดำกำลังสะอึกสะอื้น ร้องไห้ครวญครางอย่างไม่อายใคร น้ำตาที่ปนด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ไหลอาบเสื้อเชิร์ตขาว สักพักชายผู้นี้เริ่มทรุดตัวลงไปกองกลิ้งอยู่กับพื้น ความเสียใจอย่างที่ไม่อาจพรรณาออกมาเป็นคำพูด และไม่อาจเก็บกลั้นไว้ภายใต้ความดูดีมีกาลเทศะ ศิษย์เซนชาวตะวันตกของซูซูกิต่างจ้องมองไปยังชายผู้นี้ และน้ำตาของพวกเขาก็เริ่มรินไหลอย่างที่ไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป
ชายผู้นั้น คือ วัชราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่นาม เชอเกียม ตรุงปะ กับความจริงใจและตรงไปตรงมาที่มักจะทำให้ผู้ที่พบเห็นถึงกับตะลึงงัน ตัวตนทางจิตวิญญาณของเรารู้สึกถูกถางถางอย่างรุนแรง ด้วยวิถีแห่งการนัวเนียและดื่มด่ำอยู่กับชีวิตโลกๆได้อย่างไม่กลัวเกรงของชายผู้นี้
ท่านตรุงปะ เคยบอกกับศิษย์ของเขาว่า หากเขาไม่ใช่ลามะ ไม่ใช่รินโปเช แล้วมีใครเดินไปพบเขาในผับบาร์ หรือบนท้องถนน เขามั่นใจว่าจะไม่มีใครให้ความสนใจแก่เขาเลย ท่านตรุงปะยืนยันว่าเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ไม่วิ่งหนีจากชีวิตเพียงเท่านั้น ความทุกข์ ความเจ็บปวด และความเศร้า เป็นเส้นด้ายที่ร้อยเรียงพลังแห่งความจริงแท้ของธรรมาจารย์ผู้นี้ บุคคลที่บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีครูบาอาจารย์ผู้เป็นที่รัก ความโดดเดี่ยว ร่างกายที่พิการ เพื่อนรักที่ทรยศหักหลัง ศิษย์ที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของครู ทั้งหมดนี้คือความเป็นจริงในชีวิตของชายผู้นี้ กับหัวใจที่แตกสลาย อันส่องแสงเรืองรองเป็นวัชรธรรมะที่งดงาม จริงแท้ และแสนไพเราะ
การเดินทางบนเส้นทางสายนี้ หาใช่ทางเบี่ยงหรือทางออกจากความทุกข์ ขั้นแรกผู้ปฏิบัติรู้จักที่จะน้อมเข้าหา "ธรรมะ" แต่นั่นเป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น เส้นทางที่แท้จริงของผู้ปฏิบัติคือ การกลับเข้าไปซึมซับธรรมะที่แท้จากชีวิต ธรรมะที่ว่า ชีวิตคือความทุกข์ เราไม่มีวันที่จะได้สิ่งที่เราต้องการ และหลบเลี่ยงจากสิ่งที่เราไม่ต้องการได้ ไม่มีความแน่นอนใด นอกเสียจากความตาย ชีวิตมีเพียงเท่านี้ กับแต่ละชั่วขณะที่มีความหมายอย่างเต็มเปี่ยมในตัวของมันเอง ขอเพียงแค่เรารู้ที่จะปล่อยวาง ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงแว้บเดียวก็เปลี่ยนแปลงและผ่านพ้นไป กับความเศร้าพื้นฐานที่สถิตอยู่ในใจตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์คนหนึ่งบนโลกใบนี้
เส้นทางสายนี้คือการฝึกที่จะดำเนินชีวิตไปอย่างสอดคล้องกับความเศร้าพื้นฐานแห่งผืนดินและผืนฟ้า เปิดใจยอมรับความเป็นไปของสัจธรรมอันดูเหมือนจะโหดร้ายเสียเหลือเกิน ทว่าเพียงแค่เราน้อมใจเข้าหาอย่างปราศจากความกลัวและความคาดหวัง เราก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่แห่งประสบการณ์ชีวิตในแต่ละขณะ เป็นความรักและความเมตตาอันแสนยิ่งใหญ่ ดั่งแสงเรืองรองของอาทิตย์อุทัยในยามเช้า ที่ฉายแสดงให้เราตื่น แต่ละรอย แต่ละริ้วแห่งการสั่นไหวของใจ ค่อยๆหล่อเลี้ยงให้หัวใจเรามีพลังและเติบใหญ่ขึ้น เพียงแค่เราเปิดรับ รู้สึก และสัมผัส กับทุกประสบการณ์ชีวิตอย่างจริงแท้ เผชิญหน้ากับตัวเอง ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดแสนสาหัสเพียงไรก็ตาม
ความเบิกบานของผู้ปฏิบัติก่อกำเนิดจากหัวใจอันอ่อนโยนที่สัมผัสกับความไม่จีรังพื้นฐานแห่งการมีชีวิตอยู่ ความเบิกบานคลี่เผยจากการได้เป็นหนึ่งเดียวกับความเป็นไปอันแท้จริงในแต่ละขณะอย่างเต็มเปี่ยม ปล่อยให้ทุกสิ่งโบยบินไป ปราศจากเป้าหมาย หรือการควบคุมให้เป็นไปอย่างที่ใจเราปรารถนา ...อิสรภาพอันเกิดมาจากความเข้าใจและยอมรับในธรรมชาติแห่งความทุกข์ ที่แทรกซึมอยู่ในทุกอณูของการสัมผัสรับรู้อันเปราะบางยิ่ง นำไปสู่ความเบิกบานที่แท้แห่งการดำเนินชีวิตของผู้ปฏิบัติในแต่ละลมหายใจเข้าออกที่ยังมีอยู่
ด้วยรักแด่เยเช เนื่องในวันเกิดครบรอบ ๑ ปี
จากใจพ่อ
เครสโตน, โคโลราโด
๓๐ กรกฎาคม ๕๒
31.7.09
18.7.09
back to the origin
2.7.09
29.6.09
จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒
แม้ผมจะไม่โปรดปรานกับสถานะของการเป็นนักท่องเที่ยว กับภาพบรรยากาศของธุรกิจการท่องเที่ยวที่แทรกซึมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ผมก็ยังเห็นข้อดีของการเดินทางไปสัมผัสสถานที่ ภูมิอากาศ ภาษา และวัฒนธรรมของผู้คนต่างชาติต่างภาษา มีอะไรบางอย่างที่การเดินทางได้มอบให้เรา ให้เราได้อยู่กับความไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งการได้หยุดอยู่กับอะไรที่ไม่ได้ดังใจและไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด ยิ่งหากเรามีโอกาสได้เดินทางคนเดียวก็เป็นโอกาสที่เราจะได้อยู่กับตัวเอง ทนอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเองที่หลายครั้งเรามักมีคนใกล้ชิดเป็นที่รองรับ
การเดินทางไปลาดักและแคชเมียร์ในช่วงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปสัมผัสท้องถิ่นที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมพุทธวัชรยาน วัดวาอารามบนยอดเขา ทะเลทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา กับบรรยากาศและสีสันของภูมิประเทศอันดิบโหดอันเป็นพื้นหลังของสายปฏิบัติสายนี้ ความตรงไปตรงมาของสัจธรรมความจริงอันไม่ปรานีต่อหลักเกาะเกี่ยว ได้ก่อร่างพุทธวิถีที่ตรงไปตรงมา ไร้มายา ไร้จริต เข้มข้น และเข้มแข้ง อย่างที่ในแก่นสาระที่หากผู้ใดเข้าถึง ก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถเข้าไปทำลายได้
แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในวิถีปฏิบัติและวัฒนธรรมเก่าแก่ดั้งเดิมในประเทศพุทธในทวีปเอเชีย ไม่เว้นแม้แต่ดินแดนสนธยาอย่างลาดัก ภูฐาน หรือ ทิเบต ในปัจจุบัน ในหลายแง่มุมได้กลายเป็นสิ่งที่กำลังค่อยๆตายลงไป คุุณค่าทางจิตวิญญาณในเอเชียกำลังค่อยๆกร่อนลงเหลือแต่เพียงเปลือกนอกที่สวยงามอันไร้จิตวิญญาณ การรุกล้ำของลัทธิวัตถุนิยมและบริโภคนิยม เทคโนโลยี สื่อสมัยใหม่ และการท่องเที่ยว ได้เข้าไปแนบขนาบรั้ววัดและชุมชนพื้นเมืองในทุกๆด้าน การตั้งรับอย่างไม่มีทิศทางจนกลายเป็นความเมินเฉยและสยบยอมต่อเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป ภาพที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าของการพยายามปรับตัวของพุทธศาสนาในโลกสมัยใหม่ ที่เป็นไปในลักษณะของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างฉาบฉวย การพยายามเข้าใจโดยขาดความลุ่มลึกและการเห็นแจ้งแทงตลอด รูปแบบตามประเพณีดั้งเดิมของพุทธศาสนาได้อ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัดในบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของโลกสมัยใหม่ การพยายามถอยหนีที่ดูจะใช้ไม่ได้ผล และการโผเข้าไปหาก็ออกจะปราศจากทักษะที่กลั่นมาจากความเข้าใจ ความกล้า และรากอันหยั่งลึกของการฝึกปฏิบัติ
วิถีแห่งพุทธธรรมในโลกสมัยใหม่? นั่นคือ วลีที่เป็นคำถามในใจผมเสมอมา เป็นทั้งคำถามและแรงดลใจ เป็นทั้งคุณค่าทางจิตวิญญาณและไฟแห่งความทุกข์ที่ผมเข้าไปประสบ แต่ทั้งหมดนั้นก็คือประสบการณ์บนเส้นทางการแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของคนๆหนึ่ง ที่อยากจะเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปทดลอง ล้ม ลุก คลุก คลาน "ตามที่เป็นจริง" จนหาท่าทีเดิมแท้แห่งการวางตัว วางใจ ท่ามกลางเหตุปัจจัยที่โกลาหลและพิลึกพิลั่นตามธรรมชาติของสังคมที่เปลี่ยนไปของเพื่อนมนุษย์ร่วมสมัย ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกหัวออกก้อย และไม่ว่าเพื่อนๆจะชอบมันหรือไม่ ผมว่าเราก็ดันมารู้จักกันเสียแล้ว และไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราก็อยู่ร่วมกันในคำถามแห่งยุคสมัยคำถามนี้ไม่มากก็น้อย
อีกสองเดือน "บ้านตีโลปะ" คงจะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการเป็นห้องทดลองความจริงของเราทุกคน และผมยังคงหวังว่า ไม่ว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหนอย่างไร เราจะยังคงเป็น "กัลยาณมิตร" ที่ดีงาม คอยพูดคุย สนทนา ตักเตือนกัน เรียนรู้ไปด้วยกันบนการเดินทางอันยาวไกลและแสนโดดเดี่ยวสายนี้
ด้วยรักและคิดถึง
วิจักขณ์
"You know, happiness is not the point... it's much more interesting than that." - Chogyam Trungpa Rinpoche.
[quote sent along by Amy Stahl]
การเดินทางไปลาดักและแคชเมียร์ในช่วงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปสัมผัสท้องถิ่นที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมพุทธวัชรยาน วัดวาอารามบนยอดเขา ทะเลทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา กับบรรยากาศและสีสันของภูมิประเทศอันดิบโหดอันเป็นพื้นหลังของสายปฏิบัติสายนี้ ความตรงไปตรงมาของสัจธรรมความจริงอันไม่ปรานีต่อหลักเกาะเกี่ยว ได้ก่อร่างพุทธวิถีที่ตรงไปตรงมา ไร้มายา ไร้จริต เข้มข้น และเข้มแข้ง อย่างที่ในแก่นสาระที่หากผู้ใดเข้าถึง ก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถเข้าไปทำลายได้
แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในวิถีปฏิบัติและวัฒนธรรมเก่าแก่ดั้งเดิมในประเทศพุทธในทวีปเอเชีย ไม่เว้นแม้แต่ดินแดนสนธยาอย่างลาดัก ภูฐาน หรือ ทิเบต ในปัจจุบัน ในหลายแง่มุมได้กลายเป็นสิ่งที่กำลังค่อยๆตายลงไป คุุณค่าทางจิตวิญญาณในเอเชียกำลังค่อยๆกร่อนลงเหลือแต่เพียงเปลือกนอกที่สวยงามอันไร้จิตวิญญาณ การรุกล้ำของลัทธิวัตถุนิยมและบริโภคนิยม เทคโนโลยี สื่อสมัยใหม่ และการท่องเที่ยว ได้เข้าไปแนบขนาบรั้ววัดและชุมชนพื้นเมืองในทุกๆด้าน การตั้งรับอย่างไม่มีทิศทางจนกลายเป็นความเมินเฉยและสยบยอมต่อเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป ภาพที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าของการพยายามปรับตัวของพุทธศาสนาในโลกสมัยใหม่ ที่เป็นไปในลักษณะของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างฉาบฉวย การพยายามเข้าใจโดยขาดความลุ่มลึกและการเห็นแจ้งแทงตลอด รูปแบบตามประเพณีดั้งเดิมของพุทธศาสนาได้อ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัดในบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของโลกสมัยใหม่ การพยายามถอยหนีที่ดูจะใช้ไม่ได้ผล และการโผเข้าไปหาก็ออกจะปราศจากทักษะที่กลั่นมาจากความเข้าใจ ความกล้า และรากอันหยั่งลึกของการฝึกปฏิบัติ
วิถีแห่งพุทธธรรมในโลกสมัยใหม่? นั่นคือ วลีที่เป็นคำถามในใจผมเสมอมา เป็นทั้งคำถามและแรงดลใจ เป็นทั้งคุณค่าทางจิตวิญญาณและไฟแห่งความทุกข์ที่ผมเข้าไปประสบ แต่ทั้งหมดนั้นก็คือประสบการณ์บนเส้นทางการแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของคนๆหนึ่ง ที่อยากจะเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปทดลอง ล้ม ลุก คลุก คลาน "ตามที่เป็นจริง" จนหาท่าทีเดิมแท้แห่งการวางตัว วางใจ ท่ามกลางเหตุปัจจัยที่โกลาหลและพิลึกพิลั่นตามธรรมชาติของสังคมที่เปลี่ยนไปของเพื่อนมนุษย์ร่วมสมัย ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกหัวออกก้อย และไม่ว่าเพื่อนๆจะชอบมันหรือไม่ ผมว่าเราก็ดันมารู้จักกันเสียแล้ว และไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราก็อยู่ร่วมกันในคำถามแห่งยุคสมัยคำถามนี้ไม่มากก็น้อย
อีกสองเดือน "บ้านตีโลปะ" คงจะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการเป็นห้องทดลองความจริงของเราทุกคน และผมยังคงหวังว่า ไม่ว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหนอย่างไร เราจะยังคงเป็น "กัลยาณมิตร" ที่ดีงาม คอยพูดคุย สนทนา ตักเตือนกัน เรียนรู้ไปด้วยกันบนการเดินทางอันยาวไกลและแสนโดดเดี่ยวสายนี้
ด้วยรักและคิดถึง
วิจักขณ์
"You know, happiness is not the point... it's much more interesting than that." - Chogyam Trungpa Rinpoche.
[quote sent along by Amy Stahl]
27.6.09
25.6.09
นักรบแห่งตันตระ

ความงามของอาจารย์ประมวลปรากฏอยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน และความเมตตาต่อทุกผู้คนที่อาจารย์พานพบ ความเรียบง่ายของการดำเนินชีวิต การตั้งจิตอธิษฐาน ใส่ความตั้งใจในเรื่องเล็กๆที่มีความหมายต่อการงอกงามทางใจ ความโปร่งใสไม่มีอะไรที่ต้องกลัวหรือหลบซ่อน นำมาซึ่งความสง่างามในการดำเนินชีวิตอย่างไม่อาจอธิบายได้
ดีใจที่ได้สัมผัสผู้ใหญ่ที่น่ารักอย่างอาจารย์ประมวล ผู้ใหญ่ที่น่าเคารพและน่ากราบไหว้ หนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจนัยของการเดินทางแห่งตันตระด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์หมดจด อย่างปราศจากความตื่นตาตื่นใจอย่างผิวเผิน
1.6.09
เติมความบ้าให้สวนโมกข์
31.5.09
จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒
"เป็น อยู่ คือ" ได้ฝากทั้งประสบการณ์ที่มีค่า ภาพความเป็นไปได้แห่งอนาคต และการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของอดีต ช่วงเวลาตลอด ๗ วัน ผมกับพี่หลิ่งได้ทดลองความเป็นไปได้ในการบรรสานดินกับฟ้า โลกกับธรรม สัมพันธ์กับสัมบูรณ์ สังสารกับนิพพาน ในรููปแบบของการภาวนาที่หมิ่นเหม่และท้าทาย การกลับไปกลับมาระหว่าง absolute space ของการภาวนา และ relative space ของอารมณ์ ความรู้สึก และการเลื่อนไหลของอารมณ์และความรู้สึกนั้น ถือเป็นการเดินทางร่วมกันของเราทั้ง ๔๑ ชีวิตอย่างแท้จริง แต่ละวันที่วิทยากรต่างก็โดนหั่นเฉือนไม่แพ้ผู้เข้าร่วม เราได้เอาตัวตนของเราแต่ละคนมาวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่เขินอาย ไม่มีการสร้างภาพของการตรัสรู้ของผู้ฝึกภาวนา มีก็แต่ความจริงใจต่อตนเองในการขัดเกลาจิตใจบนเส้นทางเพียงเท่านั้น
การร่วมสืบค้น เรียนรู้ ฝึกฝน และแสวงหา กับคนหนุ่มมากด้วยตัณหาราคะอย่างผม อาจเป็นสิ่งที่ดูไม่น่าไว้วางใจนัก เพราะหากผลของการปฏิบัติของผู้สอนยังไม่ได้แสดงถึงภาวะแห่งการดับทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้วไซร้ แล้วอะไรคือหลักประกันของเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้เล่า ใช่แล้วครับ...ไม่มีหลักประกันใดๆทั้งสิ้น และนั่นอาจถือเป็นหัวใจสำคัญของลงมาว่ายวนในสังสารวัฏครั้งนี้ของเราๆ คือการถอดถอนหน้ากาก หลักประกัน และความหวังที่จะไปสู่สถานการณ์ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีคุรุ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีสัญญาใจจากใครทั้งนั้น ขอเพียงแค่อยู่กับสิ่งที่เป็น ลงมาจากหอคอยงาช้างบนสรวงสวรรค์ มานัวเนียพัวพันทำความเข้าใจกับไฟที่แผดเผาแห่งความเป็นไปที่แท้จริง ท่ามกลางเหตุปัจจัยที่มืดมนในโลกแห่งวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ ที่เต็มไปด้วยเล่ห์ กล ภาพสะท้อนที่ลวงหลอก และคำมั่นสัญญาจากภายนอกที่ไม่มีแก่นสาระ ในยุคแห่งการหนีทุกข์ ยุคแห่งสุขนิยม ยุคแห่งความกลัวที่จะอยู่บนผืนดิน และนั่นคือการเดินทางของผม...กับแรงบันดาลใจ ที่ไม่จำเป็นว่าใครๆจะต้องเห็นด้วย
ไม่ว่าการเดินทางและแรงบันดาลใจของเราแต่ละคนจะเป็นเช่นไร สัมภาระของเราแต่ละคนจะมีสะสมมาต่างกันแบบไหน ทว่าเราก็ยังสามารถปฏิบัติร่วมกันได้เสมอ ณ พื้นที่ของการภาวนา มณฑลที่น้อมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถจะเป็นได้ ขอเพียงแค่เรารู้ในสิ่งที่ตัวเองเป็น รู้ในคุณค่าและความปรารถนาเบื้องลึกของเรา รู้ในข้อจำกัดและสิ่งที่เรารับไม่ได้ รู้ถึงรายละเอียดของประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเป็น รู้ถึงภาพสะท้อนจากสิ่งที่เราเป็นในทุกสิ่งทุกอย่าง และที่สำคัญ "รู้ที่จะวางทุกอย่างในพื้นที่ของความรู้เนื้อรู้ตัว"...โดยไม่ต้องใส่ป้ายว่าอันนี้ "ควร" "ไม่ควร" "เหมาะ" "ไม่เหมาะ" "ดี" "ไม่ดี" ความหลากหลายของคำถาม การรู้แจ้ง ความสับสน ประสบการณ์ความเป็นคนของเพื่อนๆ ต่างก็เป็นสิ่งที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง มีค่ายิ่งกว่าคำสอนสูงส่งทั้งหลายทั้งปวงที่ถูกหยิบยื่นให้
ขอให้เราได้เป็นกำลังใจให้แก่กัน คงมั่นบนเส้นทางการฝึกตนของตนกันต่อไป
ในสายธารธรรม
วิจักขณ์
การร่วมสืบค้น เรียนรู้ ฝึกฝน และแสวงหา กับคนหนุ่มมากด้วยตัณหาราคะอย่างผม อาจเป็นสิ่งที่ดูไม่น่าไว้วางใจนัก เพราะหากผลของการปฏิบัติของผู้สอนยังไม่ได้แสดงถึงภาวะแห่งการดับทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้วไซร้ แล้วอะไรคือหลักประกันของเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้เล่า ใช่แล้วครับ...ไม่มีหลักประกันใดๆทั้งสิ้น และนั่นอาจถือเป็นหัวใจสำคัญของลงมาว่ายวนในสังสารวัฏครั้งนี้ของเราๆ คือการถอดถอนหน้ากาก หลักประกัน และความหวังที่จะไปสู่สถานการณ์ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีคุรุ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีสัญญาใจจากใครทั้งนั้น ขอเพียงแค่อยู่กับสิ่งที่เป็น ลงมาจากหอคอยงาช้างบนสรวงสวรรค์ มานัวเนียพัวพันทำความเข้าใจกับไฟที่แผดเผาแห่งความเป็นไปที่แท้จริง ท่ามกลางเหตุปัจจัยที่มืดมนในโลกแห่งวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ ที่เต็มไปด้วยเล่ห์ กล ภาพสะท้อนที่ลวงหลอก และคำมั่นสัญญาจากภายนอกที่ไม่มีแก่นสาระ ในยุคแห่งการหนีทุกข์ ยุคแห่งสุขนิยม ยุคแห่งความกลัวที่จะอยู่บนผืนดิน และนั่นคือการเดินทางของผม...กับแรงบันดาลใจ ที่ไม่จำเป็นว่าใครๆจะต้องเห็นด้วย
ไม่ว่าการเดินทางและแรงบันดาลใจของเราแต่ละคนจะเป็นเช่นไร สัมภาระของเราแต่ละคนจะมีสะสมมาต่างกันแบบไหน ทว่าเราก็ยังสามารถปฏิบัติร่วมกันได้เสมอ ณ พื้นที่ของการภาวนา มณฑลที่น้อมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถจะเป็นได้ ขอเพียงแค่เรารู้ในสิ่งที่ตัวเองเป็น รู้ในคุณค่าและความปรารถนาเบื้องลึกของเรา รู้ในข้อจำกัดและสิ่งที่เรารับไม่ได้ รู้ถึงรายละเอียดของประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเป็น รู้ถึงภาพสะท้อนจากสิ่งที่เราเป็นในทุกสิ่งทุกอย่าง และที่สำคัญ "รู้ที่จะวางทุกอย่างในพื้นที่ของความรู้เนื้อรู้ตัว"...โดยไม่ต้องใส่ป้ายว่าอันนี้ "ควร" "ไม่ควร" "เหมาะ" "ไม่เหมาะ" "ดี" "ไม่ดี" ความหลากหลายของคำถาม การรู้แจ้ง ความสับสน ประสบการณ์ความเป็นคนของเพื่อนๆ ต่างก็เป็นสิ่งที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง มีค่ายิ่งกว่าคำสอนสูงส่งทั้งหลายทั้งปวงที่ถูกหยิบยื่นให้
ขอให้เราได้เป็นกำลังใจให้แก่กัน คงมั่นบนเส้นทางการฝึกตนของตนกันต่อไป
ในสายธารธรรม
วิจักขณ์
29.5.09
28.5.09
ฟังตรุงปะเสวนา

ฟังเสวนาคลิ๊กที่นี่
"ตรุงปะ เสวนา"
กับ ส.ศิวรักษ์, กฤษฎาวรรณ หงศ์ลดารมภ์,และ วิจักขณ์ พานิช
๒๓ พฤษภาคม ๕๒
เรือนร้อยฉนำ สวนเงินมีมา
Subscribe to:
Posts (Atom)