29.6.09

จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒

แม้ผมจะไม่โปรดปรานกับสถานะของการเป็นนักท่องเที่ยว กับภาพบรรยากาศของธุรกิจการท่องเที่ยวที่แทรกซึมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ผมก็ยังเห็นข้อดีของการเดินทางไปสัมผัสสถานที่ ภูมิอากาศ ภาษา และวัฒนธรรมของผู้คนต่างชาติต่างภาษา มีอะไรบางอย่างที่การเดินทางได้มอบให้เรา ให้เราได้อยู่กับความไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งการได้หยุดอยู่กับอะไรที่ไม่ได้ดังใจและไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด ยิ่งหากเรามีโอกาสได้เดินทางคนเดียวก็เป็นโอกาสที่เราจะได้อยู่กับตัวเอง ทนอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเองที่หลายครั้งเรามักมีคนใกล้ชิดเป็นที่รองรับ

การเดินทางไปลาดักและแคชเมียร์ในช่วงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปสัมผัสท้องถิ่นที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมพุทธวัชรยาน วัดวาอารามบนยอดเขา ทะเลทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา กับบรรยากาศและสีสันของภูมิประเทศอันดิบโหดอันเป็นพื้นหลังของสายปฏิบัติสายนี้ ความตรงไปตรงมาของสัจธรรมความจริงอันไม่ปรานีต่อหลักเกาะเกี่ยว ได้ก่อร่างพุทธวิถีที่ตรงไปตรงมา ไร้มายา ไร้จริต เข้มข้น และเข้มแข้ง อย่างที่ในแก่นสาระที่หากผู้ใดเข้าถึง ก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถเข้าไปทำลายได้

แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในวิถีปฏิบัติและวัฒนธรรมเก่าแก่ดั้งเดิมในประเทศพุทธในทวีปเอเชีย ไม่เว้นแม้แต่ดินแดนสนธยาอย่างลาดัก ภูฐาน หรือ ทิเบต ในปัจจุบัน ในหลายแง่มุมได้กลายเป็นสิ่งที่กำลังค่อยๆตายลงไป คุุณค่าทางจิตวิญญาณในเอเชียกำลังค่อยๆกร่อนลงเหลือแต่เพียงเปลือกนอกที่สวยงามอันไร้จิตวิญญาณ การรุกล้ำของลัทธิวัตถุนิยมและบริโภคนิยม เทคโนโลยี สื่อสมัยใหม่ และการท่องเที่ยว ได้เข้าไปแนบขนาบรั้ววัดและชุมชนพื้นเมืองในทุกๆด้าน การตั้งรับอย่างไม่มีทิศทางจนกลายเป็นความเมินเฉยและสยบยอมต่อเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป ภาพที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าของการพยายามปรับตัวของพุทธศาสนาในโลกสมัยใหม่ ที่เป็นไปในลักษณะของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างฉาบฉวย การพยายามเข้าใจโดยขาดความลุ่มลึกและการเห็นแจ้งแทงตลอด รูปแบบตามประเพณีดั้งเดิมของพุทธศาสนาได้อ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัดในบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของโลกสมัยใหม่ การพยายามถอยหนีที่ดูจะใช้ไม่ได้ผล และการโผเข้าไปหาก็ออกจะปราศจากทักษะที่กลั่นมาจากความเข้าใจ ความกล้า และรากอันหยั่งลึกของการฝึกปฏิบัติ

วิถีแห่งพุทธธรรมในโลกสมัยใหม่? นั่นคือ วลีที่เป็นคำถามในใจผมเสมอมา เป็นทั้งคำถามและแรงดลใจ เป็นทั้งคุณค่าทางจิตวิญญาณและไฟแห่งความทุกข์ที่ผมเข้าไปประสบ แต่ทั้งหมดนั้นก็คือประสบการณ์บนเส้นทางการแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของคนๆหนึ่ง ที่อยากจะเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปทดลอง ล้ม ลุก คลุก คลาน "ตามที่เป็นจริง" จนหาท่าทีเดิมแท้แห่งการวางตัว วางใจ ท่ามกลางเหตุปัจจัยที่โกลาหลและพิลึกพิลั่นตามธรรมชาติของสังคมที่เปลี่ยนไปของเพื่อนมนุษย์ร่วมสมัย ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกหัวออกก้อย และไม่ว่าเพื่อนๆจะชอบมันหรือไม่ ผมว่าเราก็ดันมารู้จักกันเสียแล้ว และไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราก็อยู่ร่วมกันในคำถามแห่งยุคสมัยคำถามนี้ไม่มากก็น้อย

อีกสองเดือน "บ้านตีโลปะ" คงจะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการเป็นห้องทดลองความจริงของเราทุกคน และผมยังคงหวังว่า ไม่ว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหนอย่างไร เราจะยังคงเป็น "กัลยาณมิตร" ที่ดีงาม คอยพูดคุย สนทนา ตักเตือนกัน เรียนรู้ไปด้วยกันบนการเดินทางอันยาวไกลและแสนโดดเดี่ยวสายนี้

ด้วยรักและคิดถึง
วิจักขณ์

"You know, happiness is not the point... it's much more interesting than that." - Chogyam Trungpa Rinpoche.

[quote sent along by Amy Stahl]