6.5.09

๕๕๕






"ห้าเดือนห้า ชุมนุมโยคี ครั้งที่ ๕"
๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ณ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก
กรุุงเทพฯ

5.5.09

"ตรุงปะ" เสวนา



"วิพากษ์วิสัยทัศน์ทางจิตวิญญาณ การศึกษา วัฒนธรรม สังคม และผู้หญิง ของเชอเกียม ตรุงปะ : คุรุบ้า”

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2552
เวลา 13.00 - 16.30 น.
ณ เรือนร้อยฉนำ สวนเงินมีมา
เลขที่ 666 ถนนเจริญนคร (ระหว่างซอย 20-22)
เขตคลองสาน กรุงเทพฯ

วัชราจารย์เชอเกียม ตรุงปะ ริมโปเช เกิดที่ธิเบตในปี 1940 ท่านถูกระบุตัวว่าเป็นตุลกูหรือร่างที่มาเกิดใหม่ของลามะองค์สำคัญขณะอายุได้สิบสามเดือน และได้รับการอภิเษกเป็นตรุงปะที่สิบเอ็ดโดยกรรมาปะที่สิบหก ผ่านการศึกษาอย่างเคร่งครัดกับคุรุเพื่อบรรลุถึงปรีชาญาณ แล้วเดินทางสู่ธรรมศาลา (อินเดีย) ในปี 1960 หลังจากจีนใช้กำลังทหารเข้ายึดครองธิเบต

ท่านเป็นบุคคลรุ่นแรกๆ ที่นำพุทธศาสนาสายธิเบตมาเผยแผ่ยังโลกตะวันตก โดยท่านพยายามจะนำเสนอพุทธศาสนาในแง่มุมที่มิได้แปลกแยกจากสังคมตะวันตก แต่เป็นหนทางที่มุ่งเข้าสู่หัวใจของปรีชาญาณในแต่ละวัฒนธรรม การสอนของท่านจึงเน้นวิถีทางธรรมในรูปแบบฆราวาสมากกว่ารูปแบบทางศาสนา การปฏิบัติภาวนาที่ท่านแนะนำแก่ลูกศิษย์จึงมีทั้งศิลปะการเขียนอักษร การจัดดอกไม้ การยิงธนูแบบญี่ปุ่น พิธีชา การร่ายรำ ภาพยนตร์ ปฏิบัติธรรม จัดตั้งชุมชน และสถาบันการศึกษาแนวใหม่ (มหาวิทยาลัยนาโรปะ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพุทธวิถีใหม่ที่กำลังเบ่งบานในโลกตะวันตก

ท่านได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น “คุรุบ้า” หรือเป็นคุรุแห่งปรีชาญาณบ้า ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีมาแต่โบราณ เป็นภาวะอันแสดงถึงปัญญาญาณที่อยู่เหนือสมมุติใดๆ ถึงขนาดว่าปุถุชนโดยทั่วไปอาจมองว่าเป็นพฤติกรรมของคนบ้า ทว่าปัญญาญาณเช่นนั้นไร้ขอบเขต ปราศจากเงื่อนไข และเผยแสดงตัวมันเองตามสภาวะ โดยไม่สนใจกับประเพณีหรือมารยาทสังคม มันตรงไปตรงมาและเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ปรีชาญาณบ้าซึ่งตรุงปะสำแดงออกมาเผยให้เห็นถึงความกรุณาอันเต็มเปี่ยม เป็นพุทธะอยู่ทุกขณะ

การศึกษาและวิพากษ์ชีวิต ผลงาน และญาณทัสนะของท่านเชอเกียม ตรุงปะ ริมโปเช เป็นการเปิดประตูสู่การศึกษาพระพุทธศาสนาสายธิเบตในหลากหลายแง่มุมที่น่าสนใจยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิตวิญญาณทางโลกย์ (การเข้าถึงแก่นธรรมของบุคคลทั่วไป) สายธรรมของญาณทั้งสาม มุทรา ตันตระ ชัมบาลา ฯลฯ ด้วยท่านเป็นวัชราจารย์ที่มีบทบาทในหลายด้านซึ่งนับว่าก้าวหน้าและสอดคล้องกับยุคสมัยยิ่ง ทั้งนี้เพื่อการศึกษาและน้อมนำพุทธธรรมสู่การปฏิบัติของคนในสังคมต่อไป


...........................................................................
13.00 - 14.00 น. ลงทะเบียนพร้อมชมนิทรรศการ “ยลความงามธิเบตและภูฐานผ่านภาพถ่าย”
14.00 – 16.00 น. เสวนา “วิพากษ์วิสัยทัศน์ทางจิตวิญญาณ การศึกษา วัฒนธรรม สังคม และผู้หญิง ของเชอเกียม ตรุงปะ : คุรุบ้า”
ร่วมเสวนาโดย
- อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์
- กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์
- วิจักขณ์ พานิช
ดำเนินรายการ โดย - จิตรกร บุษบา

16.00 – 16.30 น. เปิดวงให้ซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

1.5.09

จิตวิญญาณแห่งผืนดิน

๙ - ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒
กับ โจน จันได และ วิจักขณ์ พานิช
ณ ศูนย์การเรียนรู้พันพรรณ
อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

27.4.09

อาศรมขวัญใจ

"อาศรมขวัญใจ: แดเก่อลาซะโค่เม"
วิถีเรียบง่ายของการภาวนา ดำรงอยู่ร่วมกับป่าอย่างเกื้อกูล

กุฏิ ๑: แดตะโอ่ะมู (กระท่อมแห่งการดำรงอยู่ร่วมกัน)



กุฏิ ๒: เล-อะซะโอ่ะมู (ถ้ำแห่งการก่อกำเนิดชีวิต)

กระท่อมฝึกใจ










๒๐-๒๖ เมษายน ๒๕๕๒
สร้างกระท่อมฝึกภาวนากลางป่า
บ้านสบลาน อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่

25.4.09

an awakening

ผมพบกับพี่อ้วนครั้งแรกที่ดอยแม่สลอง เชียงราย
ในงานสัมมนาของกลุ่มอโชก้า
ผมรู้สึกประทับใจในหัวใจของพี่อ้วนตั้งแต่แรกรู้จัก
ความสนใจในเรื่องของจิตวิญญาณ ที่แตกยอดมาจาก
การผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน
ได้ปรากฏอยู่ในเนื้อในตัวของพี่อ้วนอย่างแนบแน่น
ในทุกลมหายใจเข้าออก



"Phra Paisan tells about a monkey who hates the smell of kapi [shrimp paste] so much that, thinking its bottom has got dirty, it tries to rub off the imaginary taint so hard that its bottom bleeds. What hurts this monkey is not the kapi but its feelings of hatred toward it. The same is with your heart - most of the time it is your own thoughts that cause the wound.

I gradually 'crawled back' to my life. I started practising dharma, yoga and meditation. Until then, I had never had any interest in those 'spiritual' matters. Now, I've become a serious practitioner - everything I do must contribute to spiritual growth.

I still love the forest; I always want to be near it and, most importantly, I want to work for its protection. But I have changed my method. Instead of physical confrontations, I have started cultivating good 'seeds'."

"An awakening"
interview with Nikom Putta
Bangkok Post Outlook
March, 31 2009

read all...

16.4.09

perfect meditation posture



โดย เยเช เดอะ โยคินี

15.4.09

my heart brother




v: i'll go visit you in Deer Park one day.
p: that would be nice. we could go climb the mountain together, huh?

4.4.09

จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนมีนาคม ๒๕๕๒

แด่ เพื่อนร่วมทาง
ในโอกาสการจากไปครบ ๒๒ ปี ของท่านตรุงปะ
วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๒

"กฏเกณฑ์ทางศีลธรรมส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ใช้สร้างความสัมพันธ์กับความรู้ชั่วกลัวบาป แทนที่จะเป็นการสัมพันธ์กับสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา การเผชิญกับสถานการณ์ด้วยการตัดสินว่าสิ่งใดถูก และสิ่งใดผิด เป็นแฟชั่นของคนมีการศึกษาที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องชีวิตดีกว่าคนอื่น หากเธอสัมพันธ์กับสถานการณ์ในแง่ของความรู้ชั่วกลัวบาป หรือในการมองโลกในแบบของเธอ มันก็หมายความว่าเธอยังไม่ได้สัมพันธ์กับสถานการณ์นั้นๆเลยสักนิดเดียว เธอไม่มีแม้แต่ความเข้าใจต่อสถานการณ์นั้น นี่ดูจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคนเราโดยทั่วไป เธอพยายามจะทำความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆอย่างชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่กลับมีสถานการณ์ที่เธอมองว่าเลวร้ายเกินกว่าที่จะเปิดใจรับ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเธอต้องไปสืบสวนคดีฆาตกรรม เธออาจมีความต้องการที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปข้องแวะกับคดี คิดไปว่า “ฉันไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับคดีฆาตกรรม” เมื่อนั้นเธอก็จะไม่มีทางที่จะเข้าใจว่า ทำไมคนๆหนึ่งจึงฆ่าคนอีกคนหนึ่ง และเขาฆ่าอย่างไร เธออาจจะยอมให้ตัวเองเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนี้ และพยายามที่จะเข้าใจความถูกผิดของสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เธออาจจะสามารถมองสถานการณ์ในแง่มุมของเหตุและผล และเกิดความเข้าใจบางอย่าง แต่อีกด้านหนึ่ง หากเธอคิดว่า “การเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมจะพาให้ฉันเข้าไปสัมผัสไอบาปอันเลวร้าย ดังนั้นฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวดีกว่า” เธอก็ได้ปิดตัวเองไปแล้วโดยสมบูรณ์

นั่นคือสิ่งเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการบ้านการเมืองอีกต่อไป เพราะนักการเมืองเลวทั้งนั้น ข้าราชการเอาแต่โกงกิน เอ็นจีโอก็เลอะเทอะ ไม่มีใครอยากเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับเรื่องต่ำๆโลกๆ และคงไม่ต้องพูดถึงการทำความเข้าใจเรื่องราวในสังคมตามที่เป็นจริง เพราะสังคมเต็มไปด้วยความโสโครกสกปรก และย่ำแย่สุดๆ อารมณ์เหล่านี้ได้สร้างความสับสนและความขัดแย้งในสังคมของเราอย่างรุนแรง เพียงแค่ผู้คนฝึกที่จะน้อมตัวลงมาคลุกฝุ่นคลุกดินกันให้มากขึ้น และพยายามทำความเข้าใจว่ามีสิ่งใดที่ผิดเพี้ยนไปในใจเรา มันก็อาจจะมีสติปัญญาปรากฏออกมาให้เห็นกันบ้าง

ปัญหาทั้งหลายทั้งมวลก่อตัวขึ้นจากทัศนคติที่ว่า ความทุกข์ความเจ็บปวดควรจะต้องหายไป แล้วเมื่อนั้นเราจะมีความสุข นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมหันต์ ความเจ็บปวดจะไม่มีวันไป และเราก็จะไม่มีทางจะมีความสุข นั่นคือสัจจะแห่งความทุกข์ หรือ ทุกขสัจจ์ "ความเจ็บปวดไม่เคยหมดไป และเราก็จะไม่มีทางมีความสุข" นั่นคือมนตราสำหรับเธอ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การบอกตัวเองซ้ำๆ วันนี้เธอได้รับคำสอนแรกเริ่มที่สำคัญยิ่ง เธอได้รับมนตราแห่งทุกขสัจจ์

ความทุกข์ความเจ็บปวดหาได้เป็นสิ่งที่หนักหนาอะไร ยิ่งเรามีประสบการณ์บนเส้นทางสายนี้มากขึ้น เราก็จะรู้ว่าความทุกข์มีอยู่เป็นธรรมดา ทุกข์โศกจะเป็นอุปสรรคก็ต่อเมื่อเราขัดขืนและเฝ้าแต่ต้องการที่จะกำจัดมันทิ้งไป

เราในฐานะผู้ปฏิบัติจึงต้องเรียนรู้ที่จะบ่มเพาะจิตใจอันอ่อนน้อม ตระหนักรู้ว่าด้านแห่งความวิปลาสของชีวิตเป็นส่วนสำคัญของการรู้แจ้ง หาใช่ขยะที่จะต้องโยนทิ้งไปไม่ ความคิดเรื่องสังสารวัฏและนิพพานคือหนึ่งเดียวกัน สังสารวัฏไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่คนเราต้องก้าวข้ามเพียงอย่างเดียว แต่มันมีสาระสำคัญที่ควรค่าแก่การเคารพ"


เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช

แปดเดือน สามวัน เก้าโล สองขีด





เวลามีด้วยกันอาจสั้นนัก
แต่ลูกคือสุดที่รักของพ่อเสมอ