22.2.11

สารของวิมลเกียรติ

"รูปไม่ได้ว่างเปล่าเพราะความว่าง ความว่างไม่ได้แยกขาดจากรูป รูปในตัวของมันเอง คือ ความว่าง ความว่างในตัวของมันเอง คือ รูป"

คำกล่าวนี้พบได้โดยทั่วไปในคัมภีร์มหายาน แสดงถึงหัวใจของคำสอนทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา/ มาธยมรรค) และเป็นข้อความพื้นฐานของพระสูตรวิมลเกียรติ

"รูป" แสดงถึงโลกที่คุ้นชิน โลกสัมพัทธ์ โลกสมมติจากการปรุงแต่งเชิงหลักการ ส่วน "ความว่าง" แสดงถึงเป้าหมายแห่งความโหยหาทางจิตวิญญาณ สัจธรรม ธรรมชาติจริงแท้ หรือการไปพ้น สภาวธรรมอันเป็นอนันตการ และไร้การเกิดตาย

ทว่าหากทั้งสองเป็นสิ่งเดียวกัน อะไรเล่าคือเป้าหมายของพุทธศาสนา? และพุทธปรัชญาจะมีไว้เพื่ออะไร?  ความเพียรในการปฏิบัติยังเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่?  แล้วทั้งหมดจะไม่นำไปสู่ความว่างเปล่าของความเชื่อแบบตายแล้วสูญล่ะหรือ?

มีนักปรัชญามากมายที่หลงเข้าใจผิดว่าทางสายกลาง แบบที่สอนโดยวิมลเกียรติ นาคารชุน หรือพระพุทธะมหายาน ว่าเป็นคำสอนที่นำไปสู่การหมดสิ้นซึ่งคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าทางโลกหรือทางธรรม

19.2.11

ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์


คลิปย้อนหลัง งานนิเวศภาวนา "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ของเสมสิกขาลัย ที่ทำกับอาจารย์ประมวลเมื่อกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว งานนี้เกือบตายเพราะพิษไข้เลือดออกสายพันธุ์ตลิ่งชัน ดูหลักฐานได้ในคลิป


9.2.11

ล้อ-เล่น-โลก

ถ่ายรายการล้อ-เล่น-โลก













7.2.11

ง่ายงามในความธรรมดา

"ง่ายงามในความธรรมดา" เมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นคอร์สภาวนาพื้นฐานระยะสั้น ๒ วัน ที่ผมจัดกับเสมสิกขาลัยทุกปี

สามอาทิตย์ก่อนจัด มีผู้สมัครมาเพียง ๘ คน แต่พอวันจริง ไม่น่าเชื่อว่ามีผู้สนใจเข้าร่วมครบเต็มตามจำนวนคือ ๓๐ คน

ทุกครั้งที่จะสอนในคอร์สระยะสั้นแบบนี้ ผมมักมีความลังเล ด้วยความที่มีระยะเวลาจำกัดในการสื่อสารมิติของการภาวนา ที่แม้จะไม่ใช่เรื่องยาก จนทำความเข้าใจไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแดกด่วนที่หยิบยื่นให้กันราวกับของดีที่มีไว้แจก

การสอน การให้ความเข้าใจนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยากคือการสร้างพื้นที่ กระบวนการ การแลกเปลี่ยนพูดคุย และการปฏิบัติ ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนรู้สึกไว้วางใจ และเต็มที่กับการศิโรราบต่อตนเอง เพราะหากผู้ฝึกไม่เปิดตนเองแล้ว การภาวนาก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากไปกว่า กิจกรรมเสริมที่ทำให้ "รู้สึกดี" กันอย่างฉาบฉวย

สองวันที่ผ่านมา มีความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างการอบรม เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกราวกับว่าครูบาอาจารย์มานั่งอยู่ข้างๆ  ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่การฝึก ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้ล่วงหน้า คำสอนเปรียบเสมือนดาบสองคม ที่ตัดทั้งผู้สื่อสารและผู้รับการสื่อสาร ผมรู้สึกเหมือนนักเรียนคนหนึ่งไม่ต่างจากผู้เข้าร่วมทั้ง ๓๐ คนเลย ท้ายการอบรมผมรู้สึกเปราะบาง คิดอะไรไม่ออก และเปลือยเปล่าอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าหลายคนที่ผ่านการฝึกสองวันนี้คงรู้สึกไม่ต่างกัน และยังคงเป็นคำถามว่า เราจะสามารถอยู่กับภาวะนี้อย่างไรต่อไป อย่างไม่รีบลนลานหาอะไรมาปกปิดและทับถมมันอีกครั้ง


28.1.11

พวกเป็นกลาง (Centrist)

ในสถานการณ์ทางสังคมและการเมือง มีการจำแนกคนออกตามอุดมการณ์หลักๆ เช่น พวกฝ่ายซ้าย, พวกฝ่ายขวา ฯลฯ และแน่นอนว่าทุกครั้ง เราจะได้ยินคนที่อ้างว่าตน "เป็นกลาง"

คำว่า "เป็นกลาง"  เป็นคำที่มักใช้อ้างถึงอุดมการณ์ของชาวพุทธผู้ฝึกตนบนมัชฌิมาปฏิปทา (เถรวาท) รวมถึงมาธยมิกชน (มหายาน) ซึ่งก็น่าสนใจว่า อุดมการณ์ของพวกเป็นกลาง(Centrist) โดยนัยของมัชฌิมาปฏิปทา และมาธยมิกนั้น มีความหมายอย่างไรได้บ้าง


27.1.11

ที่ว่ากลาง นั้นกลางตรงไหน?

คำสอนเรื่องทางสายกลาง หรือ ใจที่เป็นกลาง ตามหลักมัชฌิมาปฏิปทาที่เราคุ้นเคย มักพูดถึงโลกทัศน์ที่แบ่งเป็นสอง สองข้าง สองขั้ว ยิ่งโดยเฉพาะข้อศีลและข้อธรรมที่ถูกกำหนดไว้ตายตัว ยิ่งทำให้ง่ายต่อการเข้าใจว่า ทางสายกลางคือเส้นทางแคบๆ ที่หากประมาท ขาดสติสัมปชัญญะย่อมหลุดออกจากทางนั้นไม่ซ้ายก็ขวาได้โดยง่าย และการช่วยเหลือผู้อื่น คือ การดึงให้ผู้คนเข้ามาเดินอยู่บนทางที่ถูกต้องสายนั้นให้มากที่สุด นั่นคือ ทางสายกลางโดยนัยของทางแคบ

ทว่าทางสายกลาง ตามแนวทางของมาธยมิก ให้อรรถาธิบายโดยนัยของทางกว้่าง

"หากมณฑลของใจ กว้างใหญ่ดั่งท้องฟ้า สุกสว่างดั่งแสงอาทิตย์แล้วไซร้
จุดศูนย์กลางของใจนั้น ตั้งอยู่ที่ใด?"

what is Madyamaka? อะไรคือมาธยมิก
it is the center of the sunlit sky จุดกลางของฟ้ากว้างสว่างจ้า


...ซึ่งหมายความว่า "เป็นกลางได้ในทุกที่"




26.1.11

หินก้าว

สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาที่เราพูดถึงทางสายกลาง เรามักจะสนใจไปที่มิติด้านพิกัดของเส้นทางซะเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือเราสนใจว่าเราเดินตรงหรือไม่? เดินออกนอกเส้นทางหรือไม่? มีใครเดินนำหน้าหรือเดินตามหลังเรามาหรือเปล่า? ราวกับว่าเรากำลังระแวดระวังเพื่อตรวจสอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา

แต่ที่เราไม่ค่อยได้ยินได้ฟัง คือ มิติด้านการก้าวเดิน หรือการเคลื่อนไปบนทางสายกลาง ธรรมชาติของการเดินทางเป็นกลางอย่างไร? แต่ละก้าวที่เราเหยียบย่างนั้นเราต้องก้าวไปสัมผัสอะไร และข้ามไปสู่สิ่งใดต่อไป? เราจะเปิดใจสัมพันธ์กับแต่ละความคิด ความรู้สึก อารมณ์อย่างไร? นั่นคือ มิติด้านการก้าวเดินที่สำคัญเกินกว่าที่จะไม่พูดถึง

เส้นทางแห่งจิตวิญญาณจะมีธรรมชาติของความเป็นทางสายกลางได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละก้าวย่าง และการจะก้าวไปได้ เราจะต้องมีสิ่งที่เรียกกันว่า "หินก้าว" อันแสดงถึงสิ่งที่เราต้องสัมพันธ์ด้วยอย่างสุดจิตสุดใจตรงหน้า จากนั้นจึงข้ามผ่านมันไป "touch and go" ด้วยความสมดุลในทุกการก้าว และทุกการสัมพันธ์กับหินก้าว จะทำให้เราสามารถเดินทางไปสู่การเผชิญทุกเหตุการณ์ ทุกความคิด ทุกอารมณ์ และทุกผู้คน ที่ปรากฏในฐานะส่วนหนึ่งของประสบการณ์บนเส้นทาง อย่างที่ไม่ต้องหลบ เลี่ยง หนี หรือต่อสู้ขัดขืน

ความเป็นกลาง

ปัญหาของการพูดถึงเรื่องความเป็นธรรม หรือ ความเป็นกลาง คือ บ่อยครั้งเราไม่ได้เปิดใจเข้าไปทำความรู้จักความเป็นไปของทั้งสองด้านจริงๆ เรากลัว ขยาด ปฏิเสธด้านใดด้านหนึ่ง เลือกอยู่ข้างฝั่ง "ธรรมะ" ฝั่งความดี ฝั่งความถูกต้อง แต่ไม่ว่าจะถูกอย่างไร จะดีอย่างไร นั่นคงเป็นได้แค่ความเป็นกลางโดยเอาคติหรืออคติของตนเองเป็นศูนย์กลางเท่านั้น ความเป็นกลางจึงต้องการการมีอยู่ของสองด้าน เช่นเดียวกับความเป็นธรรม ที่ต้องอาศัยการทำความเข้าใจสองฟากฝั่ง ทั้งนิพพานและสังสาร

"ทางสายกลาง" หรือ "มัชฌิมาปฏิปทา" เป็นคำสอนสำคัญที่ถูกกล่าวถึงในพุทธศาสนาเถรวาทอยู่โดยตลอด เพราะเป็นหนึ่งในคำสอนที่ประกาศโดยพระพุทธองค์เองตั้งแต่เทศนาครั้งแรก ทว่าคำสอนเรื่องทางสายกลางนั้น ในทางปฏิบัติ กลับไม่ได้รับความสนใจศึกษาในหมู่สาวกเถรวาทอย่างลึกซึ้งมากเท่าไรนัก "ทางสายกลาง" มักถูกมองเป็นคำสอนง่ายๆ เผินๆ พื้นๆ จนถูกมองข้ามไปในท้ายที่สุด ด้วยการด่วนสรุปว่าเป็นคำสอนที่รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ตั้งแต่แรกได้ยิน

นอกจากนั้น ในข้อศีลและข้อธรรมเบื้องต้นที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับผู้ฟังส่วนใหญ่ ทางสายกลางถูกขยายความไว้ไม่กว้างขวางชัดเจนนัก หรืออีกนัยหนึ่ง ก็อาจสรุปว่ามีความชัดเจนอย่างยิ่งจนสามารถยึดถือเป็นหลักเกณฑ์ วินัยปฏิบัติ และมาตรวัดถูกผิดได้ ทว่าสำหรับผู้ปฏิบัติที่ต้องการเข้าไปคลี่คลายเหตุแห่งทุกข์ในโลกแห่งจิตใจอันละเอียดนั้น จำเป็นต้องมีอรรถาธิบาย เพื่อให้เข้าใจการดำรงอยู่บน "ทางสายกลาง" ในบริบทที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในโลกแห่งการรับรู้อารมณ์ อันเชื่อมโยงการทำความเข้าใจตนเอง กับผู้อื่นอย่างแท้จริง

การทำความเข้าใจผู้อื่นนั้น ไม่ได้หมายถึงการคิดเผื่อคนอื่น หรือตัดสินว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนอื่น เพราะความหวังดีเช่นนั้นเป็นเพียงการแสดงออกของตัวตนที่พยายามยัดเยียดให้คนอื่นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทางสาย(เอาตัวเราเป็นศูนย์)กลางเท่านั้น แนวโน้มนี้เป็นผลจากการยึดมั่นในข้อศีลและข้อธรรมที่ตนเข้าใจจนไม่ปล่อยใจให้ "วาง" จน "เปิด" ต่อผู้อื่นได้จริงๆ

แม้ที่มาของข้อศีลข้อธรรมเหล่านั้น จะถูกกำหนดขึ้นเพื่อเป็น"กรอบแนวทาง"สำหรับการวางจิตวางใจบนทางสายกลาง เพราะโดยปกติแล้ว สังคมมนุษย์ที่ถูกกำหนดด้วยวัฒนธรรมอันตรงไปตรงมา เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน ย่อมสามารถหารูปแบบการดำเนินขีวิตในวัฒนธรรมที่สอดคล้องไปกับนัยของทางสายกลางนั้นอย่างเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ทางสายกลางกลายเป็นคำสอนที่ชัดเจน ทำได้จริง เห็นผลจริง และง่ายต่อการเชื้อเชิญให้คนทั่วไปน้อมนำไปปฏิบัติ ทว่าในอีกด้านหนึ่ง กรอบความตายตัวเช่นนั้นก็ไม่สามารถตอบสนองปัจเจกบุคคลผู้ต้องการเข้าใจธรรมชาติของสังสารและนิพพานอย่างลึกซึ้งและเป็นอิสระในทุกๆ สถานการณ์ยิ่งกว่านั้นได้ นี่คือความท้าทายอันเป็นจุดเริ่มต้นของวิถีมหายาน และการต่อยอดคำสอนทางสายกลางของ "มาธยมิก"

มาธยมิก: การข้ามพ้นตรรกะ ด้วยการใช้ตรรกะเป็นหินก้าว

มาธยมิก คือ อะไร?

แน่นอนว่ามาธยมิกชนขนานแท้ จะต้องตอบคำถามที่ว่า "มาธยมิก คือ อะไร?" ด้วยประโยคปฏิเสธ; มาธยมิกไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่หลักธรรม ไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่สำนักทางปรัชญา ไม่ใช่ทฤษฎีทางภาษาและทฤษฎีวิเคราะห์ ไมใช่จิตบำบัด ไม่ใช่สัสสตทิฏฐิ (ตายแล้วเกิด) ไม่ใช่อุจเฉททิฏฐิ (ตายแล้วสูญ) ไม่ใช่อัตถิภาวะนิยม และก็ไม่ใช่เกมประลองไหวพริบสำหรับคนบางกลุ่มในอินเดียและธิเบตที่ว่างจัด สรรหามาเล่นกัน หรือใช้ปั่นหัวคนอื่น

แล้ว มาธยมิก คือ อะไร?

เวลาคำว่า "มาธยมิก" ถูกอ้างถึง อย่างแรกคือ เราต้องดูให้ดีว่าบริบทการนำมาใช้นั้นบ่งชี้ไปที่สิ่งใด เรากำลังพูดถึงทฤษฎี รูปแบบการปฏิบัติภาวนา เส้นทางแห่งจิตวิญญาณ ผลลัพธ์ หรือธรรมชาติสูงสุดแห่งสรรพสิ่ง (ที่รวมถึงจิตของเรา) ทว่าโดยส่วนมากแล้ว ความหมายของมาธยมิกที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆ ก็คือ ความหมายสุดท้าย อันแสดงถึงธรรมชาติสูงสุดอันเป็นพื้นฐานให้กับมาธยมิกไตรสิกขา ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ เกิดขึ้นได้ โดยที่เป้าหมายของมาธยมิกไตรสิกขาไม่ได้อยู่ที่การได้มาซึ่งอะไรทั้งสิ้น นอกไปเสียจากการเข้าถึงธรรมชาตินั้นอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ของมาธยมิกจึงเป็นประสบการณ์ตรงและมิอาจผันแปรได้ของปรมัตถธรรมภายในจิตใจเราเอง

แล้วเราจะพูดถึงมาธยมิกอย่างไร?

ปรมัตถธรรม เป็นภาวะที่ข้ามพ้นจิตปรุงแต่ง ข้ามพ้นถ้อยคำ ข้ามพ้นการผันแปร และการเกิดตาย ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสามารถ "อธิบาย" "บรรยาย" "พูดถึง" หรือ "สอน" มาธยมิกกันได้จริงๆ โดยทั่วไปมีอยู่สองแนวทางที่ถูกอธิบายไว้ โดย พาโว รินโปเช

"บ้างก็ไม่ให้คำตอบในฐานะความจริงสูงสุด กรณีพวกที่พยายามเข้าใจความหมายโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็ทำได้แค่หัวเราะ ใครจะคาดคั้นเอาความจริงสูงสุดให้ได้ คงทำได้เพียงไม่มีคำตอบให้"

25.1.11

แก้กรรมในความมืด



แก้กรรมในความมืด
สนทนากับเขมานันทะ ตอนที่ ๔


วิจักขณ์: อาจารย์เคยได้ยินกระแสเรื่องการแก้กรรมบ้างไหมครับ คนที่มีความทุกข์ตามหาเกจิอาจารย์เพื่อให้ช่วยดูกรรม และแนะวิธีที่จะช่วยแก้กรรมของตัวเองให้หมดไป อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไรครับ

เขมานันทะ: (นิ่งนาน) กรรม... กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรม ๓ เมื่อเราพูดถึงการกระทำกรรม คนทั่วไปรู้จักกรรมดำ กรรมขาว หรือกรรมทั้งขาวทั้งดำปนกัน และกรรมไม่ดำไม่ขาว เรามักได้ฟังว่า คนนี้เป็นกรรมของเค้าที่เค้าเกิดมายากจน เราไม่เคยมองให้หลุดพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้เลย คำว่ากรรมดูเป็นเรื่องหนักและปิดกั้นการมองเห็น ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้าเรากล้ามอง ก็ไม่ยากเย็นที่จะเห็นได้ว่า เพราะวันๆเอาแต่เกียจคร้านไม่ทำอะไร เขาจึงยากจน เขาสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เขาจึงหมดเงินและยากจน ไม่ใช่เพราะฟ้าดินลงโทษ เพราะเขาทำนา เขาจึงเป็นชาวนา ไม่ใช่เทวดามาแต่งตั้งให้เป็น กรรมของพุทธเป็นเรื่องธรรมดามากๆ แต่ดูเหมือนเราไปคว้าเอากรรมในลัทธิอื่น มาสวมต่อเข้ากับพุทธศาสนา

วิจักขณ์: ตอนที่ผมเริ่มฝึกภาวนา มีการอธิบายในลักษณะหนึ่งที่มักได้ยินบ่อยๆ คือ เราไม่เคยนั่งสมาธินานๆ พอนั่งไปมันก็ปวดขามากใช่มั้ยครับ แล้วผมก็อยากจะขยับ เปลี่ยนขา แต่คนที่เป็นวิทยากรก็เดินมา แล้วบอกว่าให้นั่งต่อไปไม่ต้องเปลี่ยน นั่นเป็นกรรม ชาติที่แล้วเนี่ยเคยไปตีไก่ ชนไก่มาล่ะมั้งเนี่ย แล้วก็เหมือนพยายามจะถามต่อว่านั่งไปแล้วเห็นอะไรมั่ง

เขมานันทะ: อ่อ (หัวเราะ) ไปหักขาจิ้งหรีดเข้า

วิจักขณ์: (หัวเราะ) สมัยนี้ก็ยังมีนะครับอธิบายแบบนี้ พออินๆ เข้าก็เห็นเป็นภาพนั้นจริงๆ วิทยากรก็บอกให้แผ่เมตตา ขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งพอทำๆ ไปก็ได้ผลทำให้ใจเราอ่อนโยน มีเมตตามากขึ้นจริงนะครับ แต่บอกตามตรงว่า ผมไม่ค่อยชอบเลย

เขมานันทะ: โดยทั่วไปก็อธิบายกันแบบนั้นแหละครับ ซึ่งมีประโยชน์บ้างเล็กน้อยในทางจริยธรรม ทำให้ระมัดระวังสำรวมชีวิตอื่น ไม่ว่าจะเป็นหนอน นก ทำให้เรามีเมตตาต่อสรรพสัตว์ ซึ่งมันก็ดูโง่ๆ ทื่อๆ อย่างนั้น การอธิบายแบบนี้น่าจะเหมาะกับคนประเภทที่เอาดีทางปัญญาไม่ได้ หันไปสู่ความเชื่อดีกว่า ง่ายดี และมันค่อนข้าง dramatize ผู้คน ดูแล้วใครรู้เรื่องกรรมนี่จะกลายเป็นผู้วิเศษไปเลย แต่จริงๆแล้วเรื่องกรรมนี่อธิบายได้ไม่ยากเย็นอะไร กรรมดำเป็นการกระทำที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น กรรมขาวเป็นการกระทำที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชีวิตงอกงาม กรรมไม่ดำไม่ขาวคือกลางๆ อย่างอริยมรรคนี่ถือเป็นกรรมไม่ดำไม่ขาว อย่างที่ผมยกตัวอย่างว่า คนที่เชื่อว่าชาวนาเกิดมายากจน ชาติก่อนเคยทำบาปทำชั่วมา อย่างนี้เป็นการอธิบายที่เลยเถิดไปครับ ดูจะลึกลับชอบกล ที่จริงๆการที่เค้าเกิดมายากจน อาจเป็นเพราะความเกียจคร้านของเขาเอง อาจเป็นเพราะพ่อแม่ทิ้งหนี้สินไว้ ไม่ได้ศึกษาเข้าใจทุกข์ที่ผจญอยู่มากพอ หรือว่าสาวลึกลงไป อาจเป็นเพราะจิตใจของเขาไม่ตั้งมั่นในตัวเองก็เป็นได้

วิจักขณ์: หรือในบางครั้งชาวนายากจน ทั้งๆที่ขยัน ทำงานหนัก ใจบุญสุนทาน ประหยัดมัธยัสถ์ก็มีนะครับ ดูเหมือนสังคมทุกวันนี้มีความซับซ้อนขึ้นไปอีก สาวเหตุไปอาจเป็นเพราะนายทุนกดขี่ ถูกเอาเปรียบโดยนโยบายของภาครัฐ ระบบการจัดสรรที่ทำกินไม่ยุติธรรม ราคาพืชผลทางการเกษตรกำหนดไว้ต่ำเกินจริง อะไรอย่างนี้เป็นต้น

เขมานันทะ: นั่นควรจะถูกดึงมาอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อเราสามารถดึงความรู้เหล่านี้มาอธิบายจนเกิดความเข้าใจได้ เราก็จะแก้กรรมได้ครับ ส่วนอำนาจลึกลับนั้นเราแก้ไม่ได้ ได้แต่อ้อนวอน ...ทางมันแคบนิดเดียวครับ เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องที่งมงายในตัวมันเอง ต่อให้เรื่องนั้นจะจริง แต่ก็ยังไม่เข้าใจเหตุเข้าใจผล

วิจักขณ์: มีเหตุการณ์นึงครับที่ผมได้ดูในคลิปวิดีโอ เหตุเกิด ณ สำนักแห่งหนึ่ง มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งมาแก้กรรม เป็นหญิงสาวหน้าตาดี คงมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์อะไรทำนองนี้ ก็มาขอให้แม่ชีดูกรรมและแก้กรรมให้ แม่ชีก็บอกว่า “ชาติที่แล้วเนี่ย โยมเคยเปิดประตูเมืองให้พม่าเข้ามา ชาตินี้ก็เลยมีแต่ผู้ชายเข้ามาทำร้าย”

เขมานันทะ: พูดอย่างนี้ นางอองซานซูจี เสียใจแย่…

วิจักขณ์: (หัวเราะ)

...แล้วแม่ชีก็แนะให้เธอแก้กรรมโดยไปอยู่ในห้องที่ไม่มีประตู หรือไม่ก็หาผ้ามาปิดประตูเอาไว้ แล้วเอาหอยมาเรียงไว้หน้าประตูเพื่อจะได้รับกรรมไปแทน อาจารย์มองการอธิบายหรือชี้แนะในลักษณะนี้ยังไงครับ เพราะดูเหมือนการช่วยแก้กรรมของแม่ชีก็ช่วยทำให้คนที่เข้ามาหาสบายใจขึ้นได้จริงๆ

เขมานันทะ: เป็นความสบายใจบนพื้นฐานของความเชื่อครับ เช่น เชื่อว่าเราโชคดี เราเกิดวันจันทร์ หรือเกิดวันสำคัญ เป็นเรื่องของความเชื่อครับ

วิจักขณ์: คือ เชื่อใหม่ให้สบายใจขึ้น ปรับความเชื่อ เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน อย่างนั้นเหรอครับ

เขมานันทะ: แต่มันสบายใจแบบโง่ๆยังไงไม่รู้นะครับ เชื่อให้สบายใจขึ้น เพราะโดยแท้จริงเราทำความเข้าใจได้อยู่ครับ เราไม่จำเป็นต้องใช้ความเชื่อเต็มร้อยเปอร์เซนต์ เราอาจจะเชื่อว่า “อาจจะมีจริงก็ได้” นี่เป็นความเชื่อเบื้องต้นนะครับ ซึ่งเป็นการเปิดประตูให้ผู้ฟังหายใจโล่งอกก่อน เพราะผู้ฟังมีหลายประเภทนะครับ ประเภทชอบเชื่อไม่ชอบเหตุผลมี ประเภทเกลียดความเชื่อ เพราะมีสติปัญญาเป็นของตัวเองก็มี

วิจักขณ์: เหมือนกับว่าการอธิบายด้วยความเชื่อพยายามทำให้เกิดความลึกลับ

เขมานันทะ: ...เพื่อประโยชน์ผลของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลครับ

วิจักขณ์: ทำไมอาจารย์ถึงมองว่าความลึกลับถึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลล่ะครับ

เขมานันทะ: มันเป็นความดำมืดครับ

วิจักขณ์: หมายความว่า การอธิบายให้เกิดความลึกลับไม่ได้ช่วยคนฟังจริงๆ แทนที่จะได้ความกระจ่าง กลับเลิกถาม เลิกสงสัยเพราะได้ความเชื่อหรือความลึกลับบางอย่างกลับไป

เขมานันทะ: ถูกครับ ทำให้ผู้ฟังมืดยิ่งขึ้น

วิจักขณ์: เป็นความสบายใจในความมืด ว่าอย่างนั้นได้มั๊ยครับ

เขมานันทะ: จริงๆผมว่าไม่สบายใจขึ้นนะ เรียกได้ว่าครึกครื้นขึ้น เหมือนคนเมาเหล้ามากกว่า ลัทธิความเชื่อที่ต้องการรักษาผลประโยชน์ ครองใจสาวก มักอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ อ้างเทพ อ้างเทวดา หรือในที่นี้กรรมได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป ทั้งๆที่จริงๆแล้วกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เข้าใจได้ ถ้ากล้ามองและทำความเข้าใจ


ธันวาคม ๕๓
ถอดเทปและเรียบเรียง โดย บ้านตีโลปะ

[คลิปที่กล่าวถึงในการสนทนา ดูได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=3yRxhTM_i4s&playnext=1&list=PLBB55B09B6BAAFA9A&index=52 ]