ชื่องานดูน่ากลัว แต่ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกจากใจตัวเองในบางที
มารู้จักแขกของบ้านตีโลปะ อัญชลี คุรุธัช
อดีตประธานองค์กรพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพโลก
(Buddhist Peace Fellowship)
กับประสบการณ์การทำงาน เพื่อผู้ลี้ภัย ชนกลุ่มน้อย
และผู้ถูกกดขี่ข่มเหง มากว่า ๒๐ ปี
บ้านรับน้ำหนักได้จำกัด เพียง ๒๐ คนเท่านั้น
สำรองที่นั่งด้วยตนเองวันนี้ ขอทีอย่าเหน็บใครมา
บอกกันไว้ล่วงหน้า
ที่ refish@tilopahouse.com
รายละเอียดเพิ่มเติม>>
28.10.09
21.10.09
เสียงเพรียกจากผืนดิน





is it a good retreat?
is it a bad retreat?
is there gonna be a better retreat?
or better gurus out there?
how about a perfect path?
with powerful meditation techniques?
a great lineage of the awakened ones?
have you received great teachings?
great meditative experiece?
great wisdom?
or a great life?
all seems to appear simplier than that.
in an easy life,
an easy path,
an easy way,...the sacred way.
only you take deep roots into the earth,
the unconditional space of the earth.
...
and begin
to connect.
"ชีวิตง่ายๆ"/ "ภาวนากับผืนดิน"
กับ โจน จันใด และ วิจักขณ์ พานิช
๙ - ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๒
สวนพันพรรณ, แม่แตง
เชียงใหม่
3.10.09
จดหมายข่าววัชรปัญญาประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๒
เริ่มต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาด้วย “น้อมใจรับใช้ผืนดิน” งานฝึกอบรมที่ผมทำคู่กับพี่เล็ก ปรีดา เต็มๆเป็นครั้งแรก กิจกรรมภาวนาควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจประเด็นทางสังคม ตระหนักถึงพลังชีวิตจากการทำงานด้านใน ฝึกจิตฝึกใจของเราแต่ละคน ที่ผลิล้นออกมาเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตร่วมกับผู้คนในสังคมในแบบของเราเอง “ไม่ใช่ข้างนอก” ที่การทำงานเพื่อสังคมไม่ได้ทำไปเพื่อหวังผลใดๆในการเสริมสร้างตัวตน แม้แต่ความเป็นคนดีมีคุณค่า หรือ ผู้ทำประโยชน์แก่สังคม และ “ไม่ใช่ข้างใน” ที่การฝึกใจไม่ได้เป็นไปอย่างหมกมุ่น ดูจิต แก้กรรม ทำกุศล จนเลยเถิดกลายเป็นการสร้างอัตตาทางจิตวิญญาณที่ก้าวร้าวแยกขาดจากความอ่อนน้อมต่อโลก
กิจกรรมการออกไปจาริกดูใจในสถานการณ์จริง วางใจในความเป็นไปอันแสนโกลาหล และตระหนักถึงข้อจำกัดในตัวเราที่กั้นขวางจากการ “น้อมใจ” ต่อผู้คนได้อย่างธรรมดาสามัญ สถานะ การศึกษา ภาษา ท่าที บุคลิก คุณค่า ความเชื่อ ความกลัว ความคาดหวัง... สิ่งละอันพันละน้อยที่เราเกี่ยวเกาะขึ้นเป็นตัวเรา ยึดแน่นจนไม่สามารถปล่อยสู่ความเปลือยเปล่าในสถานการณ์การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตรงหน้าได้อย่างแท้จริง
น้อมใจรับใช้ผืนดิน นำคำถามง่ายๆที่ว่าเราแต่ละคนเกิดมาทำไมในผืนดินนี้ และเราศิโรราบให้กับการเกิดมาเหยียบอยู่บนผืนดินนี้จริงๆแล้วหรือ กับเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนที่ได้เสกสร้างสีสันอันหลากหลายตามแต่เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตที่มีสุขทุกข์ มีความงามและความมืดหม่นที่เปลี่ยนแปลงพลิกผลันได้ในพริบตาเดียว และนั่นคือชีวิตกับการภาวนา กับการน้อมนำทุกประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งของการสัมพันธ์ต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย และเข้าใจธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายที่ไม่จบไม่สิ้น
ท่ามกลางความโหยหาทางจิตวิญญาณในสังคมไทยที่คุกรุ่นเสียเหลือเกิน ลัทธิ ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณแปลกใหม่ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด เราจะวางใจกันอย่างไร เราจะมีใครหรือสิ่งใดเป็นที่พึ่ง อะไรถูก อะไรผิด อะไรแท้ อะไรเทียม ก่อนที่จะไปถึงคำถามเหล่านั้น พื้นฐานของการน้อมใจลงสัมผัสดิน จริงใจและสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่ตนเองเป็น น่าจะเป็นพื้นฐานที่ผู้ฝึกทุกคนควรสดับรับฟัง เสียงภายในที่จริงแท้อันปราศจากการเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดภายนอกอันเป็นสมมติ นอกจากผืนดินอันเป็นเนื้อเป็นตัว และผืนฟ้าอันเปิดกว้างเสมอเพียงสองตีนเราสัมผัสพื้นขณะที่ก้าว จริงอยู่ที่ว่าศรัทธาคือกำลัง แต่พึงจำไว้เสมอว่า ศรัทธาในทุกประสบการณ์ชีวิตอันเป็นภาพสะท้อนของจิต คือ ศรัทธาสูงสุดที่ผู้ปฏิบัติพึงมี ส่วนเทคนิควิธีการมีไว้เพียงเพื่อให้เราอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราได้ก็เท่านั้น
การแลกเปลี่ยนสื่อสารเรื่องราวทางจิตวิญญาณจากประสบการณ์ตรงก็ยังคงดำเนินกันต่อไป เป็นไปอย่างที่เป็นไป ทุกอย่างก็คงทำเท่าที่ทำได้ ไม่น้อยไม่มากเกินกว่าที่พื้นที่ของใจจะพอเปิดรับ
บ้านตีโลปะ ๑๐๘ /๑
๒ ตุลาคม ๕๒
______________________________
-ข่าวฝากจากมณฑลวัชรปัญญา และบ้านตีโลปะ-
๑. ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ง่ายงามในความธรรมดา" กับ วิจักขณ์ พานิช คอร์สภาวนาระยะสั้น ๒ วัน สำหรับคนทำงาน เรียนรู้พื้นฐานการภาวนาและปรับทัศนคติต่อการเดินทางด้านในให้อ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น สมัครได้ที่เสมสิกขาลัย 02-314 7385 ถึง 6 หรือ semsikkha_ram@yahoo.com รับเพียง ๓๐ ท่านเท่านั้น
๒. ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ชีวิตกับความรุนแรง" กับ อัญชลี คุรุธัช (และ วิจักขณ์ พานิช) ณ บ้านตีโลปะ
มาเปิดใจร่วมกันเรียนรู้และใคร่ครวญถึงปัญหาการใชัความรุนแรงกับคนใกล้ตัว ฟังเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่ถูกทำร้าย เห็นถึงความเข้มแข็งของพวกเขาในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความปลอดภัย และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทำความเข้าใจกับลักษณะและรูปแบบของความรุนแรง รวมทั้งผลกระทบที่ความรุนแรงเหล่านี้มีต่อเด็ก ชุมชน และสังคม จากประสบการณ์การทำงานเพื่อผู้ลี้ภัย ผู้คนด้อยโอกาส และผู้ประสบเคราะห์กรรม ของวิทยากร คุณอัญชลี คุรุธัช อดีตประธาน Buddhist Peace Fellowship (BPF)
๓. อ่านบทสัมภาษณ์ "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์: บนหนทางภาวนาของวิจักขณ์ พานิช" ในสานแสงอรุณ ฉบับเดือนก.ย.-ต.ค. ศกนี้
กิจกรรมการออกไปจาริกดูใจในสถานการณ์จริง วางใจในความเป็นไปอันแสนโกลาหล และตระหนักถึงข้อจำกัดในตัวเราที่กั้นขวางจากการ “น้อมใจ” ต่อผู้คนได้อย่างธรรมดาสามัญ สถานะ การศึกษา ภาษา ท่าที บุคลิก คุณค่า ความเชื่อ ความกลัว ความคาดหวัง... สิ่งละอันพันละน้อยที่เราเกี่ยวเกาะขึ้นเป็นตัวเรา ยึดแน่นจนไม่สามารถปล่อยสู่ความเปลือยเปล่าในสถานการณ์การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตรงหน้าได้อย่างแท้จริง
น้อมใจรับใช้ผืนดิน นำคำถามง่ายๆที่ว่าเราแต่ละคนเกิดมาทำไมในผืนดินนี้ และเราศิโรราบให้กับการเกิดมาเหยียบอยู่บนผืนดินนี้จริงๆแล้วหรือ กับเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนที่ได้เสกสร้างสีสันอันหลากหลายตามแต่เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตที่มีสุขทุกข์ มีความงามและความมืดหม่นที่เปลี่ยนแปลงพลิกผลันได้ในพริบตาเดียว และนั่นคือชีวิตกับการภาวนา กับการน้อมนำทุกประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งของการสัมพันธ์ต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย และเข้าใจธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายที่ไม่จบไม่สิ้น
ท่ามกลางความโหยหาทางจิตวิญญาณในสังคมไทยที่คุกรุ่นเสียเหลือเกิน ลัทธิ ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณแปลกใหม่ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด เราจะวางใจกันอย่างไร เราจะมีใครหรือสิ่งใดเป็นที่พึ่ง อะไรถูก อะไรผิด อะไรแท้ อะไรเทียม ก่อนที่จะไปถึงคำถามเหล่านั้น พื้นฐานของการน้อมใจลงสัมผัสดิน จริงใจและสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่ตนเองเป็น น่าจะเป็นพื้นฐานที่ผู้ฝึกทุกคนควรสดับรับฟัง เสียงภายในที่จริงแท้อันปราศจากการเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดภายนอกอันเป็นสมมติ นอกจากผืนดินอันเป็นเนื้อเป็นตัว และผืนฟ้าอันเปิดกว้างเสมอเพียงสองตีนเราสัมผัสพื้นขณะที่ก้าว จริงอยู่ที่ว่าศรัทธาคือกำลัง แต่พึงจำไว้เสมอว่า ศรัทธาในทุกประสบการณ์ชีวิตอันเป็นภาพสะท้อนของจิต คือ ศรัทธาสูงสุดที่ผู้ปฏิบัติพึงมี ส่วนเทคนิควิธีการมีไว้เพียงเพื่อให้เราอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราได้ก็เท่านั้น
การแลกเปลี่ยนสื่อสารเรื่องราวทางจิตวิญญาณจากประสบการณ์ตรงก็ยังคงดำเนินกันต่อไป เป็นไปอย่างที่เป็นไป ทุกอย่างก็คงทำเท่าที่ทำได้ ไม่น้อยไม่มากเกินกว่าที่พื้นที่ของใจจะพอเปิดรับ
บ้านตีโลปะ ๑๐๘ /๑
๒ ตุลาคม ๕๒
______________________________
-ข่าวฝากจากมณฑลวัชรปัญญา และบ้านตีโลปะ-
๑. ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ง่ายงามในความธรรมดา" กับ วิจักขณ์ พานิช คอร์สภาวนาระยะสั้น ๒ วัน สำหรับคนทำงาน เรียนรู้พื้นฐานการภาวนาและปรับทัศนคติต่อการเดินทางด้านในให้อ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น สมัครได้ที่เสมสิกขาลัย 02-314 7385 ถึง 6 หรือ semsikkha_ram@yahoo.com รับเพียง ๓๐ ท่านเท่านั้น
๒. ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ "ชีวิตกับความรุนแรง" กับ อัญชลี คุรุธัช (และ วิจักขณ์ พานิช) ณ บ้านตีโลปะ
มาเปิดใจร่วมกันเรียนรู้และใคร่ครวญถึงปัญหาการใชัความรุนแรงกับคนใกล้ตัว ฟังเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่ถูกทำร้าย เห็นถึงความเข้มแข็งของพวกเขาในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความปลอดภัย และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทำความเข้าใจกับลักษณะและรูปแบบของความรุนแรง รวมทั้งผลกระทบที่ความรุนแรงเหล่านี้มีต่อเด็ก ชุมชน และสังคม จากประสบการณ์การทำงานเพื่อผู้ลี้ภัย ผู้คนด้อยโอกาส และผู้ประสบเคราะห์กรรม ของวิทยากร คุณอัญชลี คุรุธัช อดีตประธาน Buddhist Peace Fellowship (BPF)
๓. อ่านบทสัมภาษณ์ "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์: บนหนทางภาวนาของวิจักขณ์ พานิช" ในสานแสงอรุณ ฉบับเดือนก.ย.-ต.ค. ศกนี้
30.9.09
เผชิญอย่างเทพ
- ในนาทีที่มีปัญหารุมเร้า แต่เรายังต้องให้ความเฮฮากับทุกคนอยู่ ณ ตรงนั้นปรับเปลี่ยนความรู้สึกอย่างไร?
ไม่รู้ ให้ตายห่าเลย ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย รู้ก็รู้ว่าปัญหารออยู่ข้างหลัง แต่เราก็เชื่อในคำพระท่านว่า "เมื่อสติมา ปัญญาเกิด" ใจเย็นๆไว้ ปัญหาจะเข้ามาชนก็ชนไป ปังๆ หลบหลีกบ้าง ล้มบ้างก็ได้ เดี๋ยวเราก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ทุกอย่างในโลกมันไม่จริง เป็นของปลอมๆหมด ปัญหา ชีวิต ทุกข์ ผิดพลาดไปก็แก้ไขไปเดี๋ยวก็จบ ยกตัวอย่างว่า มึงจะฟ้องกูล้มละลาย ก็ฟ้องไป เป็นแค่คำที่ให้มา เดี๋ยวก็แก้ไขได้ ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรมาก เคลียร์กันสิ เราก็ไม่ได้หนีหายไปไหน
- พวกพ้อง พ่อแม่พี่น้อง เรามี แต่มนุษย์เราต้องแสวงหาด้วยชีวิตตัวเราเอง
- คนเราคิดมากไปรึเปล่า? พยายามคิดอะไรให้เป็นระบบ หาเรื่องยุ่งมาให้ตัวเองมากไปหรือเปล่า คุณจะรู้เหรอว่าวันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง หรือทำไมต้องเอาเรื่องราวมากมายไปยัดเยียดให้เด็ก อยากถามหน่อยว่าเรารู้เท่ามันเหรอ อย่าเอาความโง่ไปให้เด็กเลย
- เราต้องรู้จักเผื่อใจนะ ว่าเดี๋ยวก็อาจจะเจ็บอีก เพราะไอ้ที่เราเรียนรู้มาแล้วมันแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง อนาคตข้างหน้าใครจะรู้ว่าจะเจออะไรอีก แต่เรื่องทุกอย่างมันลองได้ ถ้าตัวเราคิดว่าดี ก็ทำออกไปเลยร้อยเปอร์เซนต์ คนอื่นจะมองยังไงไม่รู้ ถ้าสิ่งผิดพลาดไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย เราก็คงไม่ได้มาถึงตรงนี้ เงินทองเป็นของนอกกาย กำไรชีวิตสิเก็บไว้ได้!
จาก สัมภาษณ์สุเทพ โพธิ์งาม "ชีวิตที่อยู่อย่างเทพ"
Maxim ตุลาคม ๒๐๐๙
ไม่รู้ ให้ตายห่าเลย ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย รู้ก็รู้ว่าปัญหารออยู่ข้างหลัง แต่เราก็เชื่อในคำพระท่านว่า "เมื่อสติมา ปัญญาเกิด" ใจเย็นๆไว้ ปัญหาจะเข้ามาชนก็ชนไป ปังๆ หลบหลีกบ้าง ล้มบ้างก็ได้ เดี๋ยวเราก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ทุกอย่างในโลกมันไม่จริง เป็นของปลอมๆหมด ปัญหา ชีวิต ทุกข์ ผิดพลาดไปก็แก้ไขไปเดี๋ยวก็จบ ยกตัวอย่างว่า มึงจะฟ้องกูล้มละลาย ก็ฟ้องไป เป็นแค่คำที่ให้มา เดี๋ยวก็แก้ไขได้ ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรมาก เคลียร์กันสิ เราก็ไม่ได้หนีหายไปไหน
- พวกพ้อง พ่อแม่พี่น้อง เรามี แต่มนุษย์เราต้องแสวงหาด้วยชีวิตตัวเราเอง
- คนเราคิดมากไปรึเปล่า? พยายามคิดอะไรให้เป็นระบบ หาเรื่องยุ่งมาให้ตัวเองมากไปหรือเปล่า คุณจะรู้เหรอว่าวันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง หรือทำไมต้องเอาเรื่องราวมากมายไปยัดเยียดให้เด็ก อยากถามหน่อยว่าเรารู้เท่ามันเหรอ อย่าเอาความโง่ไปให้เด็กเลย
- เราต้องรู้จักเผื่อใจนะ ว่าเดี๋ยวก็อาจจะเจ็บอีก เพราะไอ้ที่เราเรียนรู้มาแล้วมันแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง อนาคตข้างหน้าใครจะรู้ว่าจะเจออะไรอีก แต่เรื่องทุกอย่างมันลองได้ ถ้าตัวเราคิดว่าดี ก็ทำออกไปเลยร้อยเปอร์เซนต์ คนอื่นจะมองยังไงไม่รู้ ถ้าสิ่งผิดพลาดไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย เราก็คงไม่ได้มาถึงตรงนี้ เงินทองเป็นของนอกกาย กำไรชีวิตสิเก็บไว้ได้!
จาก สัมภาษณ์สุเทพ โพธิ์งาม "ชีวิตที่อยู่อย่างเทพ"
Maxim ตุลาคม ๒๐๐๙
16.9.09
ฆ่ากันเพราะรัก
คนเราฆ่ากันเพราะความรักได้จริงๆ
รักกันมาก จนถึงจุดที่ว่า
ถ้าฉันไม่ได้หัวใจของเธอมา เธอก็ตายไปเสียดีกว่า
หารู้ไม่ว่า
หัวใจทำได้แค่สัมผัสและให้ความรักความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
หาใช่เป็นที่กักขังความรัก
หรือหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพแห่งความสัมพันธ์ไม่
รักกันมาก จนถึงจุดที่ว่า
ถ้าฉันไม่ได้หัวใจของเธอมา เธอก็ตายไปเสียดีกว่า
หารู้ไม่ว่า
หัวใจทำได้แค่สัมผัสและให้ความรักความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
หาใช่เป็นที่กักขังความรัก
หรือหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพแห่งความสัมพันธ์ไม่
14.9.09
warrior's heart
คำถาม
หากเราต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้
เป็นเมียฆาตกรฆ่าข่มขืน เป็นสามีหญิงมีชู้
เป็นลูกนักการเมืองโกงกิน
เป็นแม่ของลูกที่คิดจะฆ่าแม่ตัวเอง...
เราจะอยู่ร่วมกับเขาอย่างไร
เราจะสัมพันธ์กับเขาอย่างไร
ด้วยความรักในหัวใจที่ปรารถนาดีต่อเขา
กับจุดยืนและความต้องการของเราที่ต่างออกไป
เราจะอยู่กับสถานการณ์นี้อย่างไร
เราจะรักษาอิสรภาพของใจเราไว้ได้อย่างไร
เราจะรักคนที่เขาไม่รู้จักความหมายของความรักได้อย่างไร
เราจะให้อภัยคนที่เขาไม่รู้จักความหมายของคำว่าให้อภัยได้อย่างไร
เราจะเคารพคนที่เขาไม่เคยเคารพใครแม้แต่ตัวเองได้อย่างไร
เราจะให้อย่างไม่มีเงื่อนไขได้อย่างไร
ยากชิบหาย
แต่นั่นดูจะเป็นหนทางเดียว...
เป็นเมียฆาตกรฆ่าข่มขืน เป็นสามีหญิงมีชู้
เป็นลูกนักการเมืองโกงกิน
เป็นแม่ของลูกที่คิดจะฆ่าแม่ตัวเอง...
เราจะอยู่ร่วมกับเขาอย่างไร
เราจะสัมพันธ์กับเขาอย่างไร
ด้วยความรักในหัวใจที่ปรารถนาดีต่อเขา
กับจุดยืนและความต้องการของเราที่ต่างออกไป
เราจะอยู่กับสถานการณ์นี้อย่างไร
เราจะรักษาอิสรภาพของใจเราไว้ได้อย่างไร
เราจะรักคนที่เขาไม่รู้จักความหมายของความรักได้อย่างไร
เราจะให้อภัยคนที่เขาไม่รู้จักความหมายของคำว่าให้อภัยได้อย่างไร
เราจะเคารพคนที่เขาไม่เคยเคารพใครแม้แต่ตัวเองได้อย่างไร
เราจะให้อย่างไม่มีเงื่อนไขได้อย่างไร
ยากชิบหาย
แต่นั่นดูจะเป็นหนทางเดียว...
11.9.09
เปลี่ยนใครไม่ได้
เราคาดหวังให้ใครเปลี่ยนไม่ได้หรอก
คนเราในชีวิตหนึ่งๆ เปลี่ยนจริงๆน้อยมาก
ส่วนใหญ่ก็คงเดิมในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
สิ่งที่อาจจะมีคุณค่าและความหมายที่สุกสว่างมากขึ้น
หากยอมรับถึงความมีอยู่ของมัน
ใครมีแนวโน้มความกะล่อน
จะไปดุด่า และบอกให้เขาปรับปรุงตัว คงยาก
ความกะล่อนก็คงจะอยู่ของมันต่อไป
และคงมีประโยชน์บ้าง หากเขารู้ตัวถึงแนวโน้มนั้นของเขา
คนที่มีแนวโน้มที่จะทำร้ายคนอื่นทั้งทางกายและวาจา
ก็เช่นกัน จะบอกให้เขาปรับปรุงตัว คงยาก
เราก็ทำได้แค่แสดงความรู้สึกและความต้องการของเรา
จากสิ่งที่เราสัมผัส
และหาระยะห่างที่เหมาะสมในความสัมพันธ์
เราคงทำได้เพียงเท่านั้น
เพราะทั้งหมดก็เป็นเรื่องของเขา
ที่คงต้องเรียนรู้ผลจากสิ่งที่เขาเป็น ด้วยประสบการณ์ของเขาเอง
อย่าได้คิดไปเปลี่ยนใครเลย
คนเราในชีวิตหนึ่งๆ เปลี่ยนจริงๆน้อยมาก
ส่วนใหญ่ก็คงเดิมในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
สิ่งที่อาจจะมีคุณค่าและความหมายที่สุกสว่างมากขึ้น
หากยอมรับถึงความมีอยู่ของมัน
ใครมีแนวโน้มความกะล่อน
จะไปดุด่า และบอกให้เขาปรับปรุงตัว คงยาก
ความกะล่อนก็คงจะอยู่ของมันต่อไป
และคงมีประโยชน์บ้าง หากเขารู้ตัวถึงแนวโน้มนั้นของเขา
คนที่มีแนวโน้มที่จะทำร้ายคนอื่นทั้งทางกายและวาจา
ก็เช่นกัน จะบอกให้เขาปรับปรุงตัว คงยาก
เราก็ทำได้แค่แสดงความรู้สึกและความต้องการของเรา
จากสิ่งที่เราสัมผัส
และหาระยะห่างที่เหมาะสมในความสัมพันธ์
เราคงทำได้เพียงเท่านั้น
เพราะทั้งหมดก็เป็นเรื่องของเขา
ที่คงต้องเรียนรู้ผลจากสิ่งที่เขาเป็น ด้วยประสบการณ์ของเขาเอง
อย่าได้คิดไปเปลี่ยนใครเลย
10.9.09
หมายเหตุ
คอร์สจิตวิญญาณแห่งผืนดินที่เชียงใหม่กับพี่โจ คนสมัครน้อย จนมีแนวโน้มว่าจะอาจต้องล้มเลิก ซึ่งเราเองก็แอบเสียดายอยู่ลึกๆ แต่หากในโค้งสุดท้าย ยังมีใครที่สนใจแล้วยังไม่ได้ส่งอีเมล์มาแจ้ง อาจจะมาไม่ครบทุกวัน หรือ ขัดสนประการใดเรื่องค่าสมัคร ก็ขอให้กระซิบมาได้ที่ shambhala04@gmail.com
จริงๆแล้วคอร์สนี้วิทยากรทั้งสองคนมีความตั้งใจมาก เราถึงขนาดเดินทางขึ้นไปคุยกับพี่โจที่สวนพันพรรณ พี่โจบอกว่า แกไม่ค่อยได้เปิดคอร์สอบรมให้กับคนไทยมากเท่าที่ควร จะมีก็แต่คนที่มาขอดูงานเป็นกลุ่มจากที่ต่างๆ แกอยากทำอะไรให้สังคมไทย และเยาวชนไทยมากขึ้น (มีคนมักครหาว่าแกคบแต่กับฝรั่ง)ส่วนในส่วนของเราก็อยากจะมีโอกาสได้จัดคอร์สภาวนาระยะยาวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ลองดูที่ ๙ วัน ซึ่งด้วยสถานที่ของสวนพันพรรณ ก็น่าจะเอื้อต่อการประสานภาวนาเข้ากับการใช้ชีวิตอย่างติดดินร่วมกับธรรมชาติได้อย่างเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น สวนพี่โจยังใกล้กับป่า ที่น่าจะได้ลองพาเพื่อนๆเข้าไปสัมผัสกับการฝึกภาวนาในป่า เข้าฝึกเดี่ยวเผชิญความกลัวในนั้นกันซักคืนสองคืน
ยังไงก็ขอเชื้อเชิญนะครับ ไม่อยากให้คอร์สนี้ล่มจริงๆ แต่ก็เข้าใจดีถึงข้อจำกัดทั้งทางค่าสมัคร ระยะทาง และระยะเวลา ทว่าก็อยากให้ทุกคนที่สนใจได้บอกความต้องการของตัวเองมาก่อน หากอยากเข้าร่วมจริงๆเราค่อยมาหาทางออกร่วมกันครับ
จริงๆแล้วคอร์สนี้วิทยากรทั้งสองคนมีความตั้งใจมาก เราถึงขนาดเดินทางขึ้นไปคุยกับพี่โจที่สวนพันพรรณ พี่โจบอกว่า แกไม่ค่อยได้เปิดคอร์สอบรมให้กับคนไทยมากเท่าที่ควร จะมีก็แต่คนที่มาขอดูงานเป็นกลุ่มจากที่ต่างๆ แกอยากทำอะไรให้สังคมไทย และเยาวชนไทยมากขึ้น (มีคนมักครหาว่าแกคบแต่กับฝรั่ง)ส่วนในส่วนของเราก็อยากจะมีโอกาสได้จัดคอร์สภาวนาระยะยาวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ลองดูที่ ๙ วัน ซึ่งด้วยสถานที่ของสวนพันพรรณ ก็น่าจะเอื้อต่อการประสานภาวนาเข้ากับการใช้ชีวิตอย่างติดดินร่วมกับธรรมชาติได้อย่างเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น สวนพี่โจยังใกล้กับป่า ที่น่าจะได้ลองพาเพื่อนๆเข้าไปสัมผัสกับการฝึกภาวนาในป่า เข้าฝึกเดี่ยวเผชิญความกลัวในนั้นกันซักคืนสองคืน
ยังไงก็ขอเชื้อเชิญนะครับ ไม่อยากให้คอร์สนี้ล่มจริงๆ แต่ก็เข้าใจดีถึงข้อจำกัดทั้งทางค่าสมัคร ระยะทาง และระยะเวลา ทว่าก็อยากให้ทุกคนที่สนใจได้บอกความต้องการของตัวเองมาก่อน หากอยากเข้าร่วมจริงๆเราค่อยมาหาทางออกร่วมกันครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)