7.6.11

๓) งอกงามในความต่าง

งานร้อยคน ร้อยธรรม ร้อยห้าปีพุทธทาส

กับ วิจักขณ์ พานิช ณ สวนโมกข์กรุงเทพฯ
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔

๓) งอกงามในความแตกต่าง
 










พิธีกร สิ่งหนึ่งที่เราได้เห็นก็คือ ท่านพุทธทาสท่านไม่ได้ศึกษาเฉพาะพุทธศาสนาในสายเถรวาทบ้านเรา ท่านก็พยายามศึกษาสายอื่นๆด้วย โดยเฉพาะสายเซน คุณวิจักขณ์เองก็เดินทางไปศึกษาที่นาโรปะที่อเมริกาด้วย ในการไปศึกษาที่อเมริกานี้เป็นการทำให้คุณวิจักขณ์หันกลับมามองเรื่องราวของพุทธศาสนาในแง่มุมที่เหมือนหรือต่างไปอย่างไรบ้างคะ

วิจักขณ์ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยครับ ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดเลยคือการที่ผมได้ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา แล้วก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนาโรปะซึ่งก่อตั้งโดย เชอเกียม ตรุงปะ ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาจารย์ผม มันทำให้ผมเปลี่ยนวิธีคิด และแน่นอนการศึกษาพุทธศาสนาตะวันตกด้วยนะครับ มันได้เปลี่ยนมุมมองหลายๆ อย่าง จากเดิมที่เราไม่เคยรู้ตัวเลยว่า พุทธศาสนาแบบไทยๆนั้นเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลขนาดไหน คือเรื่องของพุทธศาสนาเนี่ยมันปนอยู่ในเรื่องของวัฒนธรรม สังคม และวิถีชีวิตของคนมากนะครับ มันไม่รู้ว่าพุทธศาสนาเหนี่ยวนำวัฒนธรรมหรือวัฒนธรรมเหนี่ยวนำพุทธศาสนากันแน่ มันปนๆ กันอยู่ แต่พอเราได้ออกไปข้างนอกนะครับ และเราได้เห็นการสื่อสารพุทธธรรมในโลกตะวันตก ซึ่งตอนนี้เนี่ยมันใหม่มาก มันเป็นยุคแค่ศตวรรษแรก ของการนำพุทธธรรมไปโลกวัฒนธรรมตะวันตกเท่านั้นเอง คือผมเห็นวิธีการสื่อสารธรรมะที่มันliberalมากขึ้นอ่ะครับ มันเป็นเสรีนิยมมากขึ้น มันไม่ยึดติดอยู่ในกรอบของศาสนาเลย และวัฒนธรรมของการสื่อสารของพุทธศาสนาในโลกตะวันตก มันไม่ได้กรอบอยู่ในแบบที่เรียกว่า Two-tiered Model คือสองชั้นระหว่างพระกับฆราวาส แต่มันเท่ากัน คนเท่ากัน คนเหมือนกัน ก็คือมันไม่ได้มีสถานะของนักบวช หรือฆราวาสที่สูงต่ำกว่ากัน มันเป็นคนเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันเท่ากันนะครับ ภาษาที่เขาใช้สื่อสารมันเป็นภาษาของมนุษย์มาก คือ ภาษาของตะวันตกอ่ะนะ มันเป็นภาษาที่วัฒนธรรมของเขายึดโยงอยู่กับหลักเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียม เพราะฉะนั้น อย่างเขาเล่าพุทธประวัตินี่ เขาก็ใช้ he กับพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ เรียกพระพุทธเจ้าว่า “เขา”

พิธีกร ไม่ใช่ “พระองค์”
วิจักขณ์ ไม่ใช่ ๆ มันเปลี่ยนมากเลยนะครับ มันเปลี่ยนวิธีมองเราหมดเลย แล้วพุทธประวัติเนี่ย เรามองความทุกข์ ความสับสนของ “เขา” มองเส้นทางชีวิตของ “เขา” ไม่ต่างจากเส้นทางของเรา ในการที่จะเผชิญความทุกข์ของเรา ความสับสนของเรา ผมว่ามันเปลี่ยนโลกทัศน์ทุกอย่างของเราหมดเลยนะ แล้วพุทธศาสนาวัชรยานก็แน่นอนครับก็เปลี่ยนผมอีกครั้งหนึ่ง คือแนวทางพุทธศาสนาวัชรยาน จะย้อนกลับมาหาโลกมากขึ้น คือพุทธศาสนาเถรวาทจะมีนัยยะที่ปฏิเสธโลกค่อนข้างสูงนะครับ คือการปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่น ทางโลก โลกธรรม

พิธีกร ให้พ้นจากโลก
วิจักขณ์ ใช่ครับ บอกว่ากิเลสเนี่ยตัวร้ายเนอะ มันเป็นสิ่งที่ต้องละวางจากมัน ซึ่งนัยยะของมันค่อนข้างจะดูถูกชีวิตทางโลกค่อนข้างเยอะ แต่พุทธศาสนาวัชรยานเนี่ย อย่างที่ท่านพุทธทาสสะท้อนไว้ที่มะพร้าวนาฬิเกร์นะครับ นิพพานอยู่ในใจกลางสังสารวัฎ ตรงนี้วัชรยานจะพูดถึงตรงนี้จริงๆ นะครับ คือในใจกลางของชีวิต ในใจกลางของความทุกข์ ในใจกลางของเรื่องราว อารมณ์ความรู้สึก ไม่มีนัยของการดูถูกโลกว่าต่ำกว่าเลย แต่คุณสามารถจะพบได้กับนิพพานตรงนั้นนะครับ ภาษาวัชรยานพูดถึงรายละเอียดตรงนี้ แล้วก็นำการปฏิบัติที่มันหมิ่นเหม่ กับการที่จะลงมาอยู่ในโลก สัมพันธ์กับผู้คน เรียนรู้กับผู้คนได้มาก ซึ่งผมก็ (หัวเราะ)... พูดไปมันก็อินเนอะ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราเปลี่ยนโลกทัศน์ มุมมองกับเรื่องพุทธศาสนาค่อนข้างเยอะ เพราะว่าหลายๆอย่างจากที่เราศึกษาที่สวนโมกข์ เราก็ได้ประโยชน์มาก ท่านอาจารย์ได้ทำไว้ให้เราดีที่สุด คือการศึกษาที่ลึกซึ้งในการตีความคำสอนพระไตรปิฎกใหม่ อันนี้ก็หนักแล้วเนอะ ท่านยังกว้างไปถึงการศึกษาพุทธศาสนาในสายอื่นคือมหายาน สุญญตา เซน อีกใช่ไหมครับ ซึ่งก็โอ้โห กว้างใหญ่ออกไปอีก แต่ท่านอาจารย์ยังไปไม่ถึงวัชรยานอ่ะครับ ท่านยังไปไม่ถึงวัชรยาน ยังไปไม่ถึงการสุกงอมของมหายาน แล้วก็..มุมมองของท่านอาจารย์พุทธทาสหลายๆ อย่าง ท่านก็ถูกกรอบด้วยบริบทความเป็นพระค่อนข้างเยอะเหมือนกัน คือไม่ได้เป็นปัญหาที่ตัวท่านเอง แต่เป็นเรื่องของบริบททางสังคม วัฒนธรรมทางสังคมที่ให้สถานะพระไว้ค่อนข้างสูงส่งเกินไป แต่ท่านก็ผลักดันขอบเขตของการพูดคุยเรื่องศาสนาไปได้ไกลมากจริงๆ ครับ

พิธีกร คุณวิจักขณ์มองว่าการที่ท่านมีสมณะเป็นนักบวช เป็นอุปสรรคหรือเปล่า
วิจักขณ์ ไม่ ไม่เลยครับ ผมไม่ได้มองอย่างนั้น คือชีวิตมนุษย์มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ คนเรามันก็ต้องเลือก เลือกทางใดทางหนึ่ง คุณจะเป็นทุกๆ อย่างมันเป็นไปไม่ได้ (หัวเราะ) ในบริบทของท่านอาจารย์ผมว่าท่านเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ณ ตอนนั้น คือความเป็นพระ ใช่ไหมครับ อยู่แบบสมถะ แล้วก็เป็นพระค่อนข้าง Liberal ในระดับหนึ่งเลย ผมรู้สึกว่าท่านได้เลือกวิถีชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับตัวท่านเอง ณ ตอนนั้น ทุกคนก็เลือกเส้นทางการปฏิบัติของตัวเอง เส้นทางที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เราสามารถจะฝึกกับความเป็นตัวเรา แล้วค้นพบตัวเอง จากการมีวิถีชีวิตแบบนั้น คือคุณไม่ต้องพยายามไปทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อบอกว่ามันถูกหรือว่ามันดีที่สุด มันไม่มีอ่ะครับ เราต้องหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเราเอง คุณจะปฏิบัติแบบฆราวาสก็ปฏิบัติแบบฆราวาส คุณก็เป็นฆราวาสใช่ไหม ไม่ใช่ว่าคุณเป็นฆราวาสแล้วทำตัวเป็นพระ มันก็ลักลั่นน่ะ หรือคุณเป็นพระ คุณก็เป็นพระ ไม่ใช่เป็นพระแต่ทำตัวแบบฆราวาส มันก็ลักลั่นอีก ใช่ไหมครับ คือเราต้องค้นพบวิถีชีวิตที่เหมาะกับเรา แล้วก็ปฏิบัติธรรมด้วยการภาวนา รู้ตัว แล้วก็ดำเนินชีวิตไป เผชิญความทุกข์ไป สัมพันธ์กับผู้อื่นไปอย่างเป็นธรรมชาติ

พิธีกร ขยายความตรงนี้นิดนึง น่าสนใจค่ะ พุทธ เถรวาท มหายาน และวัชรยาน เป็นยังไงในมุมมองของคุณวิจักขณ์
วิจักขณ์ เดี๋ยวต้องอธิบายนิดนึงเวลาที่เราพูดถึงนิกาย อย่าพยายามเอานิกายต่างๆมาตีกันว่าอันไหนดีกว่ากัน พุทธศาสนาเถรวาทมีความลึกซึ้งและการเข้าถึงสัจธรรมก็สูงสุดในแบบพุทธศาสนาเถรวาทอยู่แล้ว คือพุทธศาสนาเถรวาทก็คือพุทธศาสนาเถรวาท พุทธศาสนาทิเบตก็คือพุทธศาสนาทิเบต พุทธศาสนาเซนก็คือพุทธศาสนาเซน แต่ว่าพุทธศาสนาทิเบตมีวิธีการอธิบาย มีกระบวนทัศน์ในการมองอริยมรรคแบบหนึ่งที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกัน ก็คือมองเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายอย่างชัดเจน เรียกว่า ไตรยาน ขั้นต้นเรียกว่าหินยาน ขั้นกลางเรียกว่ามหายาน และขั้นปลายเรียกว่าวัชรยาน เรามีคำสอนและพระสูตรที่สอดคล้องกับคำสอนในขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย ในการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณของผู้ปฏิบัติด้วย ซึ่งตรงนี้เนี่ยถ้าจะศึกษาจริงๆมันเป็นเรื่องยาวที่จะพูดถึง แต่แน่นอนว่าการเน้นย้ำของคำสอนในพุทธศาสนาแบบทิเบตในขั้นต้นที่เรียกว่าหินยานเนี่ย มันก็จะมีการเน้นตัวคำสอนที่ค่อนข้างจะสอดคล้องไปกับการเน้นย้ำคำสอนในพุทธศาสนาเถรวาทในหลายๆส่วนด้วยกันนะครับ อย่างเช่นเรื่องการเน้นย้ำในเรื่องศีลวินัย การปล่อยวางทางความคิด การภาวนาในแง่การดับทุกข์หรือการดับจากการปรุงแต่งทางความคิด อันนี้คือภาษาของหินยานในวิธีการอธิบายแบบทิเบต ส่วนพุทธศาสนาในขั้นของมหายานหรือขั้นกลางเนี่ย จะมีการพูดถึงการฝึกภาวะของการไม่ปรุงแต่งทางความคิดในมุมมองที่กว้างขึ้นก็คือในเรื่องของความว่าง คือมองความดับจากความทุกข์กว้างขึ้นไปเป็นจิตที่ว่าง หรือสุญญตา และมีการฝึกปฏิบัติที่ต่างออกไปคือการน้อมลงกลับมาสัมพันธ์กับโลก ร่วมทุกข์ร่วมสุข สัมผัสลึกลงไปถึงความรู้สึก และแน่นอนพุทธศาสนาวัชรยานก็จะพูดถึงอีกขั้นนึงซึ่งเป็นขั้นปลาย อย่างเช่นเรื่องของการฝึกในเรื่องของอารมณ์ ตัณหา หรือ passion และเรื่องของการแปรเปลี่ยนพลังต่างๆที่อยู่ในตัวเอง แล้วก็มองว่านิพพานและสังสารวัฏเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นคนละด้านของเหรียญอันเดียวกันซึ่งก็มีความหมิ่นเหม่ ขณะเดียวกันก็มีความลึกซึ้งของมันที่เราไม่อาจจะพูดในแง่ของหลักการได้ครับ ต้องพูดในแง่ของการปฏิบัติ

พิธีกร อันนี้แค่บางส่วน ถ้าจะคุยเรื่องนี้รายละเอียดคงเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ตะกี๊นี้พูดถึง พุทธศาสนาทุกนิกายจะบันทึก บัญญัติไว้คือ ความว่าง ใช่มั๊ยคะ
วิจักขณ์ ไม่เสมอไปครับ
พิธีกร ท่านพุทธทาสมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า “ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง” ในมุมมองของคุณวิจักขณ์ คือการทำงานด้วยจิตว่างนี่มันมีความสำคัญหรือว่ามันคือยังไง

วิจักขณ์ คือผมพูดก่อนนะว่าพุทธศาสนาทุกสายการปฏิบัติไม่ได้พูดถึงความว่างเหมือนกัน คือเราอย่าพยายามทำให้ทุกศาสนาหรือทุกนิกายเหมือนกัน อันนี้อันตรายมาก อาจารย์พุทธทาสไม่ได้สอนอย่างนั้น
พิธีกร ยังไงคะ

วิจักขณ์ คือมุมมองที่ว่าทุกอย่างดีเหมือนกันนี้เป็นมุมมองแบบพุทธกระแสหลักเนอะ คือเราต้องยืนอยู่บนฐานของสถานะและการยอมรับทางสังคมระดับนึงเลยถึงจะพูดอะไรอย่างนั้นได้ พุทธเราบอกว่า “ทุกศาสนาสอนเหมือนกัน”...พูดให้ใครฟังเหรอครับ... แต่จริงๆแล้วมันไม่เหมือนกัน คือจริงๆเราต้องมองให้ออกว่าแต่ละศาสนาหรือแต่ละนิกายมีจุดเด่น ที่ต้องการเน้นย้ำต่างกัน อันนี้คือจุดที่สำคัญมาก คืออย่างเราบอกว่าทุกคนในห้องนี้เหมือนกัน เป็นมนุษย์เหมือนกัน พูดยังไงก็ถูกครับ แต่มันไม่ได้ช่วยให้เรารู้จักคนๆนั้นจริงๆ ไม่ได้ทำให้เราเรียนรู้จักแง่มุมที่เด่นของคนๆนั้นจริงๆ หรือแง่มุมที่คนๆนั้นต้องการจะสื่อสารในความเป็นเค้า และยิ่งเงี้ย... สังคมไทยเงี้ยะ...บอกว่าคนไทยต้องรักกัน ปรองดองกันเงี้ยะ อันตรายมากเลยนะ เพราะวิธีคิดแบบนี้มันจะทำให้เราไม่ฟังเสียงของคนเล็กคนน้อย หรือคนที่ต้องการจะพูดในสิ่งที่เค้าต้องการจะพูด ต้องการจะบอกว่า “ไม่ใช่” เราไม่ฟัง เพราะอะไร เพราะเราเอาความเชื่อว่าเราเป็นคนดี ทำดี คิดดี มายกตน จนมืดบอดมองเห็นโลกแค่ด้านเดียว เราต้องการจะปฏิเสธคนกลุ่มหนึ่ง ใช่มั๊ยครับ คือไม่ได้อยากจะเข้าใครจริงหรอก เราต้องมองให้เห็นครับ จริงๆนิกายในพุทธศาสนาเนี่ยเป็นสิ่งที่จำเป็น และเป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นการงอกงามจากความต่าง เป็นองคาพยพจากความหลากหลาย เป็นระบบนิเวศน์ของการงอกงามตามธรรมชาติ มันต้องมีนิกาย ต้องมีลักษณะเด่นของแต่ละนิกายเกิดขึ้น แต่แน่นอนพุทธศาสนาพูดเรื่องอะไร พูดถึงเรื่องการปล่อยวางจากการยึดมั่นทางความคิดและตัวตนเหมือนกันหมด ถ้าจะมาตั้งแง่ว่าพุทธศาสนาวัชรยานบอกให้มีตัวตน บอกให้มีเสพกามจะได้ไปนิพพาน อันนี้เริ่มแปลกๆแล้ว... โอเค มาถกมาคุยกันได้ เพราะที่เราเรียนรู้มา มันไม่ใช่ มานี่มาคุยกันได้ มาเถียงกันตรงนี้ได้ แต่ว่าถ้าจะบอกว่าพุทธศาสนาทุกสายปฏิบัติเหมือนกันหมด หรือทุกสายพุทธศาสนาพูดเรื่องความว่างเหมือนกันหมด ผมรับไม่ได้ เพราะว่ามันไม่เหมือนกัน แล้วก็คำสอนของท่านอาจารย์ไม่ได้ต้องการที่จะทำให้เราทำความเข้าใจแบบนั้น ๑ รู้จักตัวเองให้ดี ๒ เปิดใจรู้จักคนอื่นในมุมมองของเค้าใช่มั๊ยครับ แล้ว ๓ เราถึงจะเอาตัวเองออกมาจากตัวตนทางศาสนาให้ได้ ผมมองอย่างนี้ครับ

พิธีกร ถ้างั้นต้องถามต่อ มีความคิดเห็นยังไงต่อประโยคที่บอกว่าพุทธศาสนาทุกนิกายแก่นเดียวกันแต่วิถีต่างกัน
วิจักขณ์ พูดแบบนั้นพูดยังไงก็ถูกอ่ะครับ มันก็แค่ทำให้เราสบายใจเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่า แก่นเดียวกันแล้วไงล่ะ แล้วทำให้เราเข้าถึงความต่างที่น่าสนใจของแต่ละนิกายได้จริงๆหรือเปล่า ผมสื่อสารพุทธศาสนานอกกระแสหลัก ในมุมมองของคนกลุ่มน้อย มุมมองของคนที่มีความทุกข์ มุมมองแบบมนุษย์นิยม แบบคนขี้เหม็น แบบฟังประสบการณ์ที่คนแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมุมมองแบบนี้เนี่ยมันต้องรักษาจุดยืนในการมองให้เห็นความต่าง อย่างแม้แต่คนปฏิบัติภาวนาแต่ละคนผมยังเชื่อเลยว่าไม่มีทางเหมือนกัน กรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่แน่นอนว่า แต่ละคน อย่างที่บอกว่า ทุกคนแต่ละคนมีแนวทางของการเข้าใจเข้าถึงตัวเองบนเส้นทางของสายธรรมอริยมรรคอันเดียวกัน โอเคก็ถูก แต่ยังไงเส้นทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นอุบายในการสื่อสารธรรมะจึงไม่ใช่ one size fits all

พิธีกร ท่านพุทธทาสสอนเรื่องความต่างไว้ว่ายังไงบ้าง ได้ศึกษามั๊ยคะ
วิจักขณ์ อันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ อันนี้ผมพูดจากความรู้สึกของตัวเองทั้งนั้น ความรู้สึกที่ได้จากการเรียนรู้กับอาจารย์ของผม

คือต้องขออนุญาตออกตัวก่อนนะครับว่า พอมาถึงจุดนี้ ผมพูดอะไรที่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกหรือมุมมองของผมเองแล้วเนี่ย มันมาจากประสบการณ์ของผมเอง อย่างที่บอกนะครับว่า ผมค่อนข้างที่จะระมัดระวังว่าในการที่จะอ้างอิงท่านอาจารย์แบบนี้มันก็ไม่ค่อยแฟร์กับท่านอาจารย์เท่าไหร่ ผมได้รับแรงบันดาลใจอย่างเดียวก็คือเรื่องของแรงบันดาลใจในการเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นเอง

๒) พระบ้ากับความกล้าหาญ

งานร้อยคน ร้อยธรรม ร้อยห้าปีพุทธทาส

กับ วิจักขณ์ พานิช ณ สวนโมกข์กรุงเทพฯ
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔

๒) พระบ้ากับความกล้าหาญ












พิธีกร แล้วในส่วนของการศึกษางานของท่านพุทธทาส มีไหมที่รู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เราค้นหามานาน
วิจักขณ์ อืม..... (คิดนาน)
พิธีกร หรือเป็นคำสอนที่เราเห็นด้วย

วิจักขณ์ คือผมก็เห็นด้วยกับคำสอนท่านอาจารย์โดยส่วนใหญ่นะครับ เกือบทุกอย่าง แล้วก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผมไปต่อยอดในการเรียนรู้พุทธศาสนาสายอื่นๆ จนถึงพุทธศาสนาวัชรยานที่ผมฝึกอยู่ และก็แน่นอนผมพูดตรงๆ นะครับ ในความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ ผมมีน้อย น้อยมากจริงๆ เพราะว่าผมไม่ได้เรียนกับท่าน ท่านไม่ใช่ครูผมนะครับ ความรู้สึกใกล้ชิด แบบใกล้ชิดศิษย์กับครูบาอาจารย์มันก็เลยไม่ค่อยมี มันจะเป็นลักษณะของความรู้สึกมากกว่าที่เรามีต่อท่านอาจารย์ ความรู้สึกแบบกว้างๆ คืออย่างเวลาผมมองท่านอาจารย์เนี่ย ผมมองเห็นท่านอาจารย์ในความกล้านะครับ ในความบ้าบิ่นของท่านอาจารย์ ผมเห็นพระรูปหนึ่งที่มีความเป็นมนุษย์มาก แล้วก็มีความ...แหก..กล้าแหก ไปทุกกรอบที่สามารถแหกได้ แต่แน่นอนว่าไม่ได้บุ่มบ่ามนะครับ ท่านเติบโตมาในยุคสมัยที่เป็นยุคเปลี่ยนผ่านทางสังคมที่ค่อนข้างสูงมาก... ทางการเมืองด้วย ท่านสามารถที่จะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมีเป็นอุปกรณ์ หรือเป็นพาหะในการศึกษาธรรมะได้ดีที่สุดเท่าที่ท่านทำได้ในยุคสมัยท่าน ผมมองตรงนี้

แล้วสำหรับคำสอนของท่านเนี่ย มีที่ผมชอบอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องของคำสอนโดยตรงนะครับ ตัวคำสอนนี่อย่างที่บอก ผมไม่ได้อินมากเท่าไหร่นะครับ อย่างเรื่อง ตัวกูของกู ปฏิจสมุปบาท การเชื่อมโยงธรรมะกับการเมืองของท่าน ผมสารภาพเลยครับ ผมไม่ได้อินมากเท่าไหร่ แต่ที่ผมชอบมากอย่างหนึ่งก็คือไฟ หรือความรู้สึกลึกๆของท่านอาจารย์พุทธทาสที่มีต่อคำสอน คือท่านกล้าที่จะตีความคำสอนในพุทธศาสนาอย่างอิสระ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญมากๆ เลย (เน้นเสียง) ที่คนไม่ค่อยพูดถึง

พิธีกร ยกตัวอย่างได้ไหมคะ
วิจักขณ์ คือท่านอาจารย์เป็นพระรุ่นใหม่สมัยนั้นที่กล้าที่จะตีความคำสอนบาลีแบบอัตวิสัย คือตีความจากประสบการณ์ของตัวเอง คือโอเค ท่านไปเรียนภาษาบาลีมาเลย เรียนจนถึงอะไรนะ เปรียญ 3-4 ใช่ไหม จนท่านรู้ภาษาดีระดับหนึ่งน่ะ สามารถจะอ่านภาษาบาลีแล้วก็แปลความด้วยตัวเองได้ และไม่จำเป็นต้องไปแปลตามทางการ ใช่ไหมครับ คือที่ท่านทำเนี่ย ตรงนี้ มันคือการศึกษาเพื่อค้นหาอิสรภาพให้กับตัวเองไง ในการเรียนรู้ธรรมะ หรือ เรียนรู้ชีวิต หรือ เรียนรู้ความหมายของพระธรรมคำสอนด้วยตัวของท่านเอง ตรงนี้ผมมองว่าสำคัญมาก คือท่านคำนึงถึงอิสรภาพของตนในการเข้าถึงคำสอน ตรงนี่เลย (เน้นเสียง) คืออิสรภาพ ที่ทุกคนต้องมีอ่ะครับ ในการจะตีความคำสอน ในการจะกล้าวิพากษ์ วิจารณ์ ในการที่จะกล้าประยุกต์ มันต้องมีความกล้าลองผิดลองถูกตรงนี้น่ะครับ ซึ่งผมชอบตรงนี้ของท่านอาจารย์มาก แล้วก็จริงๆ ถ้าเราศึกษาลึกๆในชีวิตของท่านอาจารย์ ท่านชอบกัลยาณมิตรที่กล้าถกเถียงกับท่านมาก

พิธีกร กล้าที่จะเห็นต่าง
วิจักขณ์ ใช่ๆ คือแน่นอน ท่านก็มีลูกศิษย์ลูกหาที่เห็นตามท่านเยอะ เพราะท่านก็เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ใช่ไหมครับ และก็กล้าที่จะตีความคำสอนที่ลึกซึ้งอยู่แล้ว คือสำหรับสาวกที่ชื่นชมท่าน แค่ทำความเข้าใจสิ่งที่ท่านอาจารย์ตีความก็ไม่ง่ายแล้ว จะไปมองเท่าทันท่าน และเห็นต่างจากท่าน ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่วิถีที่คนส่วนใหญ่ในสังคมตอนนั้นคุ้นเคย มันจะมีอยู่ไม่กี่คนนะครับ แต่คนที่กล้าเถียงท่านอาจารย์จะโปรดมาก คืออย่างถ้าเราคุยกันกับท่านอาจารย์สุลักษณ์ อาจารย์สุลักษณ์ก็เป็นคนหนึ่งที่ท่านอาจารย์โปรดที่จะคุย

พิธีกร เพราะเห็นต่าง
วิจักขณ์ ใช่
พิธีกร หลายเรื่องด้วย
วิจักขณ์ ผมรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เราต้องมองให้เห็นครับว่า จิตวิญญาณของคนๆหนึ่งที่รักในการแสวงหา รักในการเรียนรู้นะครับ รักที่จะเป็นขบถ และกล้าที่จะนำหน้าทิศทางของสังคมในทางจิตวิญญาณ เราต้องเห็นตรงนี้นะครับ และทุกคนสามารถเป็นคนเหล่านั้นได้ และทุกคนต้องมีความกล้าที่จะแสวงหาคำตอบด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่ว่าเราอยากดังนะครับ ไม่ใช่...คนละเรื่องเลยครับ คือเราใช้ธรรมะเป็นอุปกรณ์ หรือเป็นเครื่องมือในการเข้าใจการใช้ชีวิตของเราเองจริงๆ น่ะครับ เราเอาประสบการณ์ตรงนั้นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ ท่านอาจารย์เป็นแบบอย่างของคนแบบนี้ ผมมองเห็นตรงนี้อ่ะครับ ผมก็เลยรู้สึกว่า........แล้วไงล่ะ.. ..คือท่านอาจารย์ตอนนี้ ...คือ... เรามองท่านอาจารย์เป็นอะไร ...(เสียงสั่น)

พิธีกร อย่างไรค่ะ
วิจักขณ์ คือเรามองท่านอาจารย์เป็นอะไรไปแล้วครับ ผมไม่รู้... (นิ่งอึ้ง)
พิธีกร คุณวิจักขณ์ว่าคนในสังคมปัจจุบันมองท่าน ซึ่งล่วงลับไปแล้วอย่างไรค่ะ
วิจักขณ์ ...ไม่รู้สิครับ
พิธีกร ค่ะ
วิจักขณ์ ถึงถามไงครับ ...(ทอดเสียง เสียงเศร้า) เรามองท่านอาจารย์เป็นอะไรอ่ะครับ คือเรามองท่านเป็นอะไร เรามองท่านเป็นคนอยู่หรือเปล่าเนี่ย (..หยุด..กลืนก้อนสะอื้น) คือมันสะเทือนใจ นะครับ มันสะเทือนใจ ..พูดเนี่ย

พิธีกร เพราะอะไรคะ มันมีประเด็นอะไร คุณวิจักขณ์ จึงบอกว่า เรามองท่านชัดเจนหรือเปล่า หรือว่าเรามองท่านผิดเพี้ยนไป มันต้องมีประเด็นอะไร
วิจักขณ์ ผมว่ามันเกิดจากความที่เราไม่มั่นใจในตัวเองนะฮะ ผมมองว่ามัน... โอเค ย้อนกลับมาที่เดิม ปัญหามันอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันอยู่ที่บริบทสังคมไทยด้วย สังคมไทยสอนให้คนเป็นเด็ก สอนให้คนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และก็คิดเองไม่เป็น สอนให้คนเนี่ยสยบยอมต่ออำนาจนะครับ เพราะฉะนั้นผมมองว่าหลายๆ อย่าง มันเป็นปัญหาในทางสังคมและการเมืองด้วย คราวนี้เนี่ย พอเรามองท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นผู้นำทางสติปัญญาให้กับสังคม มันมีปัญหา ก็คือ เราจะเริ่มมองสิ่งที่ท่านสื่อสารว่าเป็น Authority และเราก็พร้อมที่จะเอาชีวิตของตัวเราเองนี่ เดินตามท่าน เอาแบบท่านอย่างเซื่องๆ และเชื่องๆ นะครับ โดยที่เราไม่เคยตั้งคำถาม ไม่กล้าที่จะถามมันด้วยตัวเราเอง ด้วยชีวิตของเราเองจริงๆ ผมมองว่าตรงนี้มันเป็นเรื่องที่อันตราย และมันก็เกิดขึ้นกับศาสนาทุกๆศาสนา พอถึงจุดๆหนึ่ง ศาสดาทุกศาสดา ครูบาอาจารย์ทุกคน ที่ลูกศิษย์ลูกหาเนี่ยไม่มีความมั่นใจในตนเอง แล้วก็ project ความไม่มั่นใจในตนเองนั้นให้กลายเป็นภาพของอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่เกินจริง เป็นภาพของอาจารย์ที่เหนือมนุษย์ ปราศจากความสับสน ปราศจากคำถามใดๆ ทั้งสิ้น กลายเป็นปูชนียบุคคล กลายเป็นเทพ ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย ..ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ

พิธีกร แล้วสิ่งที่คุณวิจักขณ์อยากจะให้คนรุ่นหลังๆ ได้รู้จัก และได้เห็นภาพของท่านพุทธทาสในแบบที่ท่านน่าจะเป็นจริง ๆ น่ะ คืออะไรคะ
วิจักขณ์ ล้อท่านนะครับ ล้อท่านซิ ล้อท่าน ล้อเหมือนที่ล้ออายุท่าน ล้อท่าน เล่นกับท่าน คุยกับท่าน เถียงกับท่าน จักกะจี้ท่านก็ได้ คือทุกอย่างที่ท่านทำน่ะ ลองคิดต่างจากท่านดู เล่นกับคำสอนของท่าน คุยกับท่าน แน่นอนว่าการปฏิบัติภาวนาของเราน่ะ เราปฏิบัติเพื่อปล่อยวางจากการยึดมั่นนะครับ ยึดมั่นจากอะไร ยึดมั่นจากความคิด ยึดมั่นจากความคาดหวัง ยึดมั่นจากอุดมการณ์ ยึดมั่นจากศาสนา ยึดมั่นจากตัวท่านอาจารย์ ยึดมั่นจากสวนโมกข์ นะครับ ยึดมั่นจากภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ของท่านพุทธทาส แล้วมองตัวเราเองจริงๆ บริบทมันเปลี่ยนไปแล้ว เรามีหน้าที่ที่ต้องทำ เรายังมีหน้าที่ที่ต้องเรียนรู้กับบริบทใหม่ๆ เรามองให้เห็นตรงนี้ แล้ว... แล้วท่านอาจจะมีชีวิต ท่านอาจารย์จะมีชีวิต ท่านอาจารย์จะอยู่ตรงนี้กะเรา

พิธีกร สิ่งที่คุณวิจักขณ์พูดนี้ ดิฉันนึกถึงคำสอนของท่านพุทธทาสอันหนึ่ง ซึ่งมันเป็นอันเดียวกันชัดๆ เพราะว่าท่านพุทธทาสบอกว่า พุทธทาสจักไม่ตาย ใช่ไหม ถึงแม้ว่าสังขารท่านไม่อยู่แล้ว แต่ว่าพุทธทาสจักไม่ตาย เพราะถ้ามีคนเข้าใจคำสอน ถ้ามีคนที่เข้าใจสิ่งที่ท่านพยายามจะบอก ท่านก็จะไม่มีวันจากไป กำลังจะบอกแบบนี้หรือเปล่าคะ

วิจักขณ์ ใช่ไหมล่ะครับ? เราศึกษาคำสอน เรานำมาปฏิบัติ เราไว้วางใจในการดำเนินชีวิตของเราเอง เรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆ บริบทใหม่ๆ แต่นี่เรากำลังสต้าฟท่านอาจารย์เป็นรูปปั้น เป็นปูชนียบุคคล ที่เราเอาไว้บูชา กราบไหว้บนหิ้ง คำสอนท่านอาจารย์หลายๆ อย่างมันเป็นคำสอนที่ ...มันท้าทายมากเลยนะครับ

พิธีกร เช่นอะไรบ้าง
วิจักขณ์ โอเค ผมคิดนะ อย่างทุกวันนี้ เราเอาคำสอนอะไรของท่านอาจารย์มาพูดกัน ผมไม่รู้นะ ผมถาม... เราอาจจะไปหาคำคมเก๋ๆ อะไรงี้ใช่มั๊ย เอามาตัดแปะไว้ตามเสื้อยืดหรือถุงผ้า ฮิตๆตอนนี้ก็ “ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ” ใช่ไหมครับ “คนดีสำคัญที่สุด” “ไม่มีตัวกูของกู” อะไรนั่นใช่มั๊ยครับ ก็แค่นี้ พูดอยู่นั่นแหละ นี่คือสุดยอดแล้วหรือครับ คำสอนท่านอาจารย์มันมีอยู่แค่นี้เองหรือครับ คือเอาเข้าจริงเราไม่ได้ศึกษางานของท่านอ่ะ คือมันสะเทือนใจนะครับ... (เสียงสั่น) คือมัน... แบบ มันตลกน่ะ คืองานของท่านอาจารย์นะครับ ..(เสียงเครือ) ตอนสมัยท่านเป็นหนุ่มน่ะครับ ท่านเขียนเรื่องอะไรครับ......(หยุดกลืนก้อนสะอื้น.. นิ่งอึ้ง...........)

......................................................... ตามรอยพระอรหันต์......ใช่มั๊ย

พิธีกร ใช่ค่ะ
วิจักขณ์ ....ที่นี้ในบริบทตอนนั้นคือทุกคน ไม่มีใครสนใจนะครับ (เสียงเครือ).. รู้สึกว่าการเดิน การปฏิบัติเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหมครับ เราไม่เคยรู้สึกว่า เฮ้ย คนบ้าที่ไหนวะจะเขียนหนังสือแบบนี้ เขียนเรื่องอะไรครับ... ปาฐกถาที่ท่านพูดแล้วมันกระเทือนที่สุด “ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม” เรายังเอามาคุยกันบ้างมั๊ย อย่างตอนผมแปลหนังสือ “ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ” เนี่ยะ ผมมานั่งเปิดอ่านภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม มันพูดเรื่องเดียวกันเลย แต่มันคนละภาษากันเท่านั้นเองนะครับ เราเคยอ่านกันไหม ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมเนี่ย เคยอ่านไหม เราเคยนำคำสอนของภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมมาปฏิบัติจริงๆ หรือเปล่า ไม่มี คือผมมองว่า คำสอนหลายๆ อย่างมันเป็นเรื่องของบริบท มันเป็นเรื่องชีวิตของแต่ละคน ในแต่ละช่วง แล้วเราได้ศึกษางานเหล่านี้จริง ๆ หรือเปล่า จนเรารู้สึกว่า เนี่ยๆ ๆ ใช่เลย..ความรู้สึกนี้ แล้วเราศึกษาจนมันทำให้เรารู้สึกว่าเรามีความไว้วางใจตัวเองมากขึ้นที่เราจะเดินด้วยตัวเราเองจริงๆอ่ะครับ คือการที่กล้าจะเดิน แล้วก็ตั้งคำถามกับประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นในบริบทที่ต่างออกไป โลกทุกวันนี้ แน่นอนครับ ภูเขาที่มันเกิดขึ้นในสังคมสมัยท่านอาจารย์นั้นมันยังกระจอก ภูเขาสมัยนี้มันซับซ้อนกว่าเยอะ สิ่งที่กั้นขวางเราไม่ให้เข้าถึงธรรมะนี่มันเยอะไปหมด อำนาจต่างๆ Authorityต่างๆ พุทธะเทนเม้นท์ พุทธเซเล้บ การที่บิดเบือนคำสอนต่างๆ มันเยอะแยะไปหมด เราไม่เคยที่จะถาม แต่เราทำอะไร เราก็เอาสิ่งที่เราอยากฟัง คำเก๋ คำคม ดึงเอามาแค่นั้นเอง ทำไม ....ก็มันขายได้ไง ใช่ไหมครับ แต่ท่านอาจารย์จะดีใจหรือครับ จะแฮปปี้หรือครับ ถามจริง..ท่านอาจารย์จะแฮปปี้เหรอ

อย่างที่บอกน่ะครับ ท่านอาจารย์เป็นคนที่รักการเรียนรู้ หลายอย่างมัน คือมันไม่น่าจะจบที่ท่าน มันน่าจะเป็นสิ่งที่เรา… คือ ท่านได้สร้างฐานไว้ดีมากแล้วนะครับ แต่มันต้องเติบโตต่อไป และนั่นคือหน้าที่ของคนรุ่นเรา เราอย่าไปคิดว่าเราต้องไปสงวนรักษา ไปสต๊าฟงานท่านอาจารย์ไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ ผมว่าเราต้องศึกษาแล้วตีให้แตก มันต้องตีให้แตก

พิธีกร พอตีมันแตก แล้วมันจะโต
วิจักขณ์ ใช่ครับ พอเราตีให้แตกแล้วมันจะโต และต่อยอดไปได้ คำสอนหลายๆ อย่าง เราได้ศึกษามันจริงๆ หรือเปล่า คำสอนสุญญตาอะไรงี้ มันต่อยอดไปได้อีก มันมีปรัชญาที่สามารถอธิบายสุญญตาได้ลึกซึ้งมากกว่ารูปแบบที่ท่านอธิบายไว้ได้อีกนะครับ อย่างคำสอนปฏิจจสมุทปบาทก็เป็นแค่แบบเดียวเท่านั้นเองที่ท่านอาจารย์อธิบายไว้ สามารถจะตีความต่อได้อีกเยอะแยะมากมายนะครับ ที่ท่านอาจารย์ได้ทิ้งไว้ อย่างภาพปฏิจจสมุปบาทที่เราเอามาติดไว้เนี่ย เป็นภาพของพุทธศาสนาของธิเบต เราเคยสนใจไหมว่าพุทธศาสนาของธิเบตเขาพูดถึงเรื่องอะไร ที่เราเห่อทะไลลามะ ที่เราเห่อคนนั้นคนนี้กัน เราเคยสนใจจริงๆหรือเปล่าว่าพุทธศาสนาธิเบตเขาพูดถึงเรื่องอะไร ไม่มีครับ คือเราไปติดอยู่กับอะไรหลายๆ อย่างจนเราไม่กล้าที่จะต่อยอดทำความเข้าใจคำสอนให้มันลึกซึ้งขึ้น ผมมองว่าหลายๆอย่าง มันก็เป็นเรื่องท้าทายที่จะเดินตามรอยท่านอาจารย์

๑) ทบทวนทิศทางในวันล้ออายุ

งานร้อยคน ร้อยธรรม ร้อยห้าปีพุทธทาส
กับ วิจักขณ์ พานิช ณ สวนโมกข์กรุงเทพฯ
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔











(๑) ทบทวนทิศทางในวันล้ออายุ

พิธีกร งานวันนี้เป็นงานเสวนาเนื่องในวันล้ออายุท่านพุทธทาส และเป็นวาระครบ ๑๐๕ ปีของท่านอาจารย์ด้วย ประเด็นนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่คุณวิจักขณ์เองก็อยากจะชวนพวกเราพูดคุยนะคะว่าความสำคัญหรือว่าหัวใจหลักของการจัดงานล้ออายุในทัศนะของท่านอาจารย์พุทธทาสกับที่เข้าใจกันปัจจุบันมันมีความตรงกันหรือว่ามันมีความไม่ตรงกันในแง่มุมไหนบ้าง เชิญค่ะ

วิจักขณ์ คือเรื่องของการล้ออายุนะครับ คือผมมองว่าท่านอาจารย์เนี่ย ท่านเป็นคน “แรง” นะครับ เป็นคนที่อัตตาแรงคนนึงก็ว่าได้ แต่หลายๆอย่างเนี่ย ท่านสามารถรู้เท่าทันตัวเอง แล้วแปรเปลี่ยนความแรงของตัวตนนั้นไปในการรับใช้คนอื่น แล้วเข้าไปสัมพันธ์กับเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นในสังคมจริงๆ ท่านเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่งนะครับ ผมว่าแม้กระทั่งช่วงปลายชีวิตของท่าน ท่านก็ยังตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเล่น เล่นกับตัวตน เล่นกับอิมเมจ เล่นกับสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น เล่นกับสวนโมกข์ เล่นกับความสำเร็จของท่านทุกอย่าง ผมว่าจุดเริ่มต้นของการล้ออายุ มันคือการเล่นนะครับ คือเหมือนกับว่าเล่นกับตัวตน เล่นกับอายุ เล่นกับความเป็นตัวฉัน มันคือเรื่องของการที่เรากล้าท้าทายตัวเอง ทบทวนตัวเองเสมอในแต่ละปีที่อายุเราผ่านไป มันไม่ใช่เรื่องของการที่เราจะสะสมบุญบารมี สะสมสาวก สะสมความสำเร็จ แม้กระทั่งเรื่องของการเผยแพร่ศาสนาให้ยิ่งใหญ่ มากขึ้นไปเรื่อยๆ ตรงกันข้าม มันเป็นเรื่องของการปล่อยให้เป็นไปเองตามเหตุปัจจัย ผมมองว่าการได้ทบทวนตัวเองเรื่อยๆเนี่ยเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งทำงานใหญ่ ยิ่งทำในสิ่งที่เราบอกว่ามันมีคุณค่ากับผู้คน มันก็ยิ่งต้องทบทวนตัวเองให้เยอะขึ้นน่ะครับ แล้วผมมองว่าท่านอาจารย์มีการให้ค่ากับการมองและทบทวนตัวเองเยอะมาก กล้าที่จะให้คนอื่นเข้ามาท้าทาย หรือว่าพูดคุยแลกเปลี่ยน ธรรมะของท่านจึงมีพลวัต น่าเสียดายที่พอท่านอาจารย์มรณภาพไปเนี่ย เรามีแง่มุมตรงนี้น้อยมากเลย กลายเป็นว่าไม่มีใครกล้าเล่นกับท่านอาจารย์เลย ไม่มีใครกล้าแหย่ท่านอาจารย์อีกแล้ว มันน่าเสียดายนะครับ ผมรู้สึกว่าหลายๆอย่างมันต้องมีการทบทวน ทบทวนจากทิศทางที่เราเดินตามรอยท่านอาจารย์ ผมรู้สึกต้องมีการทบทวนอย่างหนัก แล้วก็วันล้ออายุแต่ละปี มันน่าจะมาคุยกันอย่างนี้ มันน่าจะมีการได้เปิดประเด็นการวิพากษ์ พูดคุยถกเถียง และมองตัวตนของท่านอาจารย์ในมุมต่างๆ กล้าที่จะมองน่ะครับ ท่านตายไปแล้ว ไม่ต้องกลัวท่านด่าหรอกครับ แต่ถ้าเราคิดถึงท่าน เราก็ล้อท่าน ชวนท่านสนทนาวิสาสะน่ะครับ

พิธีกร แล้วจะคุยกับท่านอย่างไรคะ ถ้าเกิดว่าตอนนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ท่านไม่อยู่ให้เราคุย
วิจักขณ์ ก็นี่แหละครับ แบบที่เรากำลังทำนี่แหละ เราคุยกับท่าน เราเสวนา เราล้อ เราเถียงกับท่าน
พิธีกร ค่ะ
วิจักขณ์ คุยอ่ะครับไม่ใช่อวย

พิธีกร คุณวิจักขณ์เคยบวชเรียนอยู่ที่สวนโมกข์ด้วย ตอนนั้นได้เรียนรู้อะไรจากสวนโมกข์บ้างคะ
วิจักขณ์ ผมได้เรียนรู้จากสวนโมกข์เยอะมากครับ สวนโมกข์เป็นห้องเรียนที่เราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเราเองจริงๆ ผมได้เรียนรู้เรื่องการปฏิบัติภาวนา การอยู่คนเดียว การอยู่กับความกลัว ส่วนงานของท่านอาจารย์ก็ได้มีเวลาทดลองมันจริงๆนะครับ ซึ่งผมพูดตรงๆว่างานของท่านอาจารย์เนี่ย จริงๆแล้วไม่ได้เข้าใจยาก ถ้ามีเวลากับมัน ก็ถือว่าไม่ได้ซับซ้อนอะไรนะครับ นอกจากได้ฝึกปฏิบัติแล้ว ผมก็ใช้เวลาอยู่ในห้องสมุด อา...อยู่ที่นั่นเนี่ยปรากฏว่า หนังสือที่ผมได้อ่านในห้องสมุด.. อันนี้ผมไม่ค่อยได้เล่านะ ที่จริงแล้วจุดเปลี่ยนที่สำคัญตอนอยู่สวนโมกข์ ก็คือผมได้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทย ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับ ๒๔๗๕ อ่ะครับ ซึ่งมันอยู่ในห้องสมุดสวนโมกข์เยอะมาก ไม่รู้มันไปอยู่ทำไม แต่ด้วยอะไรบางอย่าง...

พิธีกร หนังสือประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องสมุดค่ะ ไม่ค่อยอยู่ในห้องเรียน
วิจักขณ์ (หัวเราะ) นั่นก็ใช่ แต่มันอยู่ในห้องสมุดสวนโมกข์ไง
พิธีกร เออ ไปอยู่ในห้องสมุดสวนโมกข์
วิจักขณ์ ใช่ไหมครับ
พิธีกร ค่ะ

วิจักขณ์ ก็เลยคิดว่าจริงๆ ก็น่าจะเป็นหนังสือที่ท่านอาจารย์อ่านหรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมรู้สึกว่าการที่ผมได้ศึกษาประวัติศาสตร์สังคมไทย เรียนรู้เหตุการณ์ทางสังคมตั้งแต่ ๒๔๗๕ เป็นต้นมา กรณีสวรรคต ชีวิตอาจารย์ปรีดี อาจารย์ป๋วย งานเขียนของอาจารย์สุลักษณ์ ๑๔ ตุลา ๖ ตุลา มันทำให้ผมตาสว่างขึ้นมากเลยครับ และมันก็ทำให้มุมมองบางอย่างเกี่ยวกับการศึกษาธรรมะของผมติดดินมากขึ้น รู้สึกว่าเริ่มเอะใจกับอุดมการณ์กระแสหลักของธรรมะทั่วๆไปพอสมควร มันมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปที่อาจจะไม่ได้เป็นด้านสวยงามที่สังคมไทยพยายามจะแสดงอยู่ในตอนนี้ โอ.. ถ้าจะถามกันจริงๆ ผมรู้สึกว่า ช่วงนั้นล่ะครับที่เป็นจุดเปลี่ยน คือได้อ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ๒๔๗๕ ที่สวนโมกข์ ฟังดูคนละเรื่องเลยนะ (หัวเราะ)

พิธีกร อื้อ... น่าสนใจนะคะ เชื่อว่าหลายคนก็จะได้รับแรงบันดาลใจจากการไปอ่านหนังสือเรื่องประวัติศาสตร์ไทย ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งนะ เรารู้สึกเหลือเกินว่าแบบ... เอ๊ะทำไม ประวัติศาสตร์แบบนี้เนี่ย ไม่เคยถูกสอนในห้องเรียน

วิจักขณ์ ใช่ครับ ประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่ธรรมะมากๆ เป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องความทุกข์ของคน มีทั้งความเป็นธรรมะและความไม่เป็นธรรม เป็นเรื่องมุมมองที่หลากหลายของการมองชีวิต และการยอมรับความจริงที่ไม่ใช่มีด้านเดียว

พิธีกร ค่ะ แล้วตอนนั้นพออ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไป มันทำให้เรากลับมาตั้งคำถามต่อตัวเองที่มันหลากหลายมากขึ้นมั๊ยคะ

วิจักขณ์ ใช่ครับ มันทำให้เราเห็นน่ะครับว่า เฮ้ย... เราไม่แปลกจริงๆด้วย (หัวเราะ)...

พิธีกร (หัวเราะ) ......เพราะในอดีตมีคนแปลกยิ่งกว่าเรา
วิจักขณ์ ใช่ แปลกแยกยิ่งกว่าเราซะอีก แล้วเรารู้สึกว่า จริงๆ ด้วยนะ... ส่วนหนึ่ง สังคมไทยต่างหากที่มีปัญหา ไม่ใช่เรามีปัญหาน่ะครับ เราสามารถที่จะตั้งคำถามอะไรก็ได้ และเราก็สามารถที่จะเดิน และหาคำตอบได้ด้วยตัวเราเอง และเราก็รู้สึกว่า เออ..ทำเลย ทำเลยดีกว่า ไม่ต้องรอให้ใครมาapprove อะไรมากมาย คือมันปลดแอกอะไรเราเยอะเหมือนกัน ว่าอื้อ.. จริง ๆ แล้วปัญหาเนี่ย มันไม่ได้อยู่ที่เรามากขนาดนั้นนี่หว่า มันอยู่ที่สังคมที่เราอยู่เหมือนกันนะ

28.4.11

แนะนำทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ

ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ

Cutting Through Spiritual Materialism

เชอเกียม ตรุงปะ บรรยาย
วิจักขณ์ พานิช แปล

คำนิยม โดย เขมานันทะ
คำนำ โดย เรจินัลด์ เรย์

สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
พิมพ์ครั้งที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔

จำนวน ๒๘๘ หน้า
ราคา ๒๐๐ บาท

หนังสือธรรมะเรต “ห” ที่ขัดต่อศีลธรรมและความสงบสุขของอัตตาอย่างแท้จริง ท้าทายความเชื่อเรื่อง “ศาสนา” ที่เคยมีมา และเปลี่ยนมุมมองต่อคำว่า “ธรรมะ” ไปโดยสิ้นเชิง ฉีกขนบงานแปลทางศาสนา ด้วยสำนวนภาษาที่เป็นกันเอง ติดดิน ตรงไปตรงมา และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่านี่เป็นหนังสือธรรมะประเภทโฆษณาชวนเชื่อ ฮาวทู หรือเสริมสร้างสุข เลิกหวังไปเลยว่าจะเป็นหนังสืออ่านง่าย แฝงคติเตือนใจ หรือให้ข้อคิดคำคม หากจะจัดเรตติ้งให้หนังสือเล่มนี้ นี่คือหนังสือธรรมะเรต “ห” ที่ขัดต่อศีลธรรมและความสงบสุขของอัตตาอย่างแท้จริง เป็นธรรมะที่จะเปิดโปงทุกแง่มุมของการหลอกตัวเอง เปิดเผยกลไกการทำงานของอัตตา สติปัญญา และความเจ้าเล่ห์ของมันอย่างถึงรากและทะลุทะลวง จนอาจถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อโลกอันสงบสุขและศีลธรรมของคนดีมีธรรมะทั้งหลายเลยทีเดียว

ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้อาจรู้สึกราวกับโดนไม้ท่อนใหญ่ฟาดหัวเข้าอย่างจัง เพราะเนื้อหานำเสนอประเด็นท้าทายความเชื่อเรื่อง “ศาสนา” และเปลี่ยนมุมมองต่อคำว่า “ธรรมะ” ไปโดยสิ้นเชิง เช่น การปฏิบัติธรรมไม่ใช่หนทางสู่การพ้นทุกข์หรือสร้างสุข แต่คือการยอมรับและเผชิญทุกข์สุขตามที่เป็น ธรรมะไม่ใช่การตัดสินดีชั่ว ถูกผิด การกำจัดด้านมืดให้สิ้นซาก หรือการแบ่งแยกฝ่ายธรรมะจากฝ่ายอธรรม ไม่ใช่การพิพากษาว่าอัตตาเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ต้องกำจัด แต่ต้องรู้ทันและเข้าใจมันอย่างทะลุปรุโปร่ง จนอัตตาไม่อาจมีอำนาจเหนือความรู้แจ้งของเราได้ เส้นทางจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องของการพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดีมีศีลธรรม หรือหลีกหนีจากชีวิตแบบโลกย์ๆ แต่คือการเป็นตัวของตัวเอง ยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ภาคภูมิใจในความเป็นคน และตระหนักว่าศักยภาพแห่งการรู้แจ้งไม่ใช่สิ่งที่ต้องสร้างขึ้นใหม่ ทว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคนอยู่แล้ว

ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ นำเสนอเนื้อหาที่กระตุ้นเตือนชาวพุทธให้หันกลับมาตระหนักในเรื่อง “วัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ” อันหมายถึงการใช้หลักธรรมคำสอน เทคนิคปฏิบัติ และภาพลักษณ์สูงส่งทางจิตวิญญาณ เพียงเพื่อการหลอกตัวเอง การเสริมสร้างอัตตา หรืออัตลักษณ์ทางศาสนา ศีลธรรม ความดี บุญบารมี ปัญญาญาณ ขั้นการบรรลุธรรม ฯลฯ อย่างปราศจากการนำพุทธธรรมมาฝึกฝนปฏิบัติจริงในชีวิต

หนังสือเล่มนี้เป็นบทบรรยายธรรมชิ้นสำคัญที่สุดของ เชอเกียม ตรุงปะ ที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งพุทธธรรมในหัวใจคนหนุ่มรุ่นใหม่จากธิเบต สู่ผู้คนในโลกตะวันตกอย่างไม่ประนีประนอม พุทธศาสนาในโลกตะวันตกไม่ได้มีสถานะหรือต้นทุนทางสังคมใดๆ ให้ผู้ศรัทธาหยิบฉวยมาสร้างอัตลักษณ์ทางศาสนา อีกทั้งคนส่วนใหญ่ยังรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับข้อบังคับ กฎเกณฑ์ และความรู้สึกผิดบาปจากศาสนาที่พวกเขาเคยยึดถือมาหลายชั่วคนอีกด้วย ดังนั้นก่อนเข้าสู่เส้นทางพุทธศาสนา ผู้คนเหล่านี้จึงต้องการแผนที่ที่สามารถบอกถึงหัวใจและรายละเอียดของเส้นทางทั้งหมดด้วยความเปิดเผยตรงไปตรงมา และหนังสือเล่มนี้ได้แสดงแผนที่นั้นไว้อย่างครบถ้วน

แม้ Cutting Through Spiritual Materialism จะเป็นหนังสือสำคัญทางพุทธศาสนาสายวัชรยานในโลกตะวันตก และเป็นคำสอนแรกที่ เชอเกียม ตรุงปะ ถ่ายทอดในทวีปอเมริกาเหนือ ช่วงปี ค.ศ. ๑๙๗๐ และ ๑๙๗๑ แต่กล่าวได้ว่านี่เป็นหนังสือที่ “ไร้กาลเวลา” เพราะแม้จะผ่านมาถึง ๔๐ ปีแล้ว ทว่าแก่นพุทธศาสนาวัชรยานที่ได้รับการถ่ายทอดอยู่ในหนังสือเล่มนี้ยังคงสื่อสารได้กับผู้คนทุกยุคทุกสมัยและทุกวัฒนธรรม รวมทั้งสังคมไทยยุคปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก

บริบทของหนังสือเล่มนี้มีความคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ นั่นคือคำสอนทางศาสนามักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมสิ่งที่เข้ามาก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง (ซึ่งมักถูกมองในฐานะสิ่งคุกคาม) เราจะรู้เท่าทันอำนาจการบิดเบือนคำสอนทางศาสนาของอัตตาได้อย่างไร? คำสอนทางจิตวิญญาณควรถูกนำมาใช้ในการตั้งคำถามกับความเป็นไปของสังคมและตัวเราเองอย่างไร? การแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของคนรุ่นใหม่ควรเป็นไปในทิศทางใดจึงจะสอดคล้องกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต? เหล่านี้เป็นคำถามที่มีอยู่ในหัวใจของผู้แสวงหาสัจจะทุกยุคทุกสมัย

ในแง่สำนวนการแปล วิจักขณ์ พานิช ฉีกขนบงานแปลทางศาสนา ด้วยการใช้สำนวนภาษาที่เป็นกันเอง ติดดิน ตรงไปตรงมา และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาใช้ประสบการณ์จากการฝึกฝนอยู่ในสายปฏิบัติของ เชอเกียม ตรุงปะ ถ่ายทอดหัวใจสำคัญของการสื่อสารธรรมะที่ไปพ้นถ้อยคำ มีสไตล์การใช้ภาษาที่เต็มไปด้วยลูกเล่น สำนวน อุปมาอุปไมย คำประดิษฐ์ สแลง มุขตลก ยึดหลักการถ่ายทอดคำสอนปากเปล่า คือการใช้ภาษาพูด บทสนทนาโต้ตอบที่ไม่เป็นทางการ และมีความเป็นเสรีนิยมตามบริบทการสื่อสารธรรมะสู่คนหนุ่มสาวอเมริกันยุค ๗๐ ด้วยเหตุที่ว่า นั่นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้งานชิ้นนี้มีความน่าสนใจและสามารถสื่อสารได้เหมาะสมกับบริบทที่พุทธศาสนาไทยในโลกสมัยใหม่กำลังเผชิญอยู่

นานาทัศนะต่อ "ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ"
http://www.facebook.com/note.php?saved&preview¬e_id=10150168987571173&id=102073626174

เนื้อหาบางส่วนจาก "ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ"
http://www.facebook.com/note.php?saved&preview¬e_id=10150168994936173&id=102073626174

4.4.11

to the Glorious Father

The vast ocean,

There’s no path.

But you encourage me to go anyway.

“One stepping stone at a time”, you said.

"The rest, you’ve got to leap."

...

This is too hard...

There's no way to go...

I heard giggles, "and so?”

“Are you willing to be used as the path for the rest, my son?”


4 Apr 2011



10.3.11

ทะลวงแล้ววันนี้

บ้านตีโลปะเชิญชวนซื้อหนังสือเต็มราคาปก เพื่อสนับสนุนการควักเนื้อแปลงานคุณภาพ
สั่งซื้อโดยตรงได้ที่ shambhala04@gmail.com


22.2.11

สารของวิมลเกียรติ

"รูปไม่ได้ว่างเปล่าเพราะความว่าง ความว่างไม่ได้แยกขาดจากรูป รูปในตัวของมันเอง คือ ความว่าง ความว่างในตัวของมันเอง คือ รูป"

คำกล่าวนี้พบได้โดยทั่วไปในคัมภีร์มหายาน แสดงถึงหัวใจของคำสอนทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา/ มาธยมรรค) และเป็นข้อความพื้นฐานของพระสูตรวิมลเกียรติ

"รูป" แสดงถึงโลกที่คุ้นชิน โลกสัมพัทธ์ โลกสมมติจากการปรุงแต่งเชิงหลักการ ส่วน "ความว่าง" แสดงถึงเป้าหมายแห่งความโหยหาทางจิตวิญญาณ สัจธรรม ธรรมชาติจริงแท้ หรือการไปพ้น สภาวธรรมอันเป็นอนันตการ และไร้การเกิดตาย

ทว่าหากทั้งสองเป็นสิ่งเดียวกัน อะไรเล่าคือเป้าหมายของพุทธศาสนา? และพุทธปรัชญาจะมีไว้เพื่ออะไร?  ความเพียรในการปฏิบัติยังเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่?  แล้วทั้งหมดจะไม่นำไปสู่ความว่างเปล่าของความเชื่อแบบตายแล้วสูญล่ะหรือ?

มีนักปรัชญามากมายที่หลงเข้าใจผิดว่าทางสายกลาง แบบที่สอนโดยวิมลเกียรติ นาคารชุน หรือพระพุทธะมหายาน ว่าเป็นคำสอนที่นำไปสู่การหมดสิ้นซึ่งคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าทางโลกหรือทางธรรม

19.2.11

ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์


คลิปย้อนหลัง งานนิเวศภาวนา "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ของเสมสิกขาลัย ที่ทำกับอาจารย์ประมวลเมื่อกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว งานนี้เกือบตายเพราะพิษไข้เลือดออกสายพันธุ์ตลิ่งชัน ดูหลักฐานได้ในคลิป


9.2.11

ล้อ-เล่น-โลก

ถ่ายรายการล้อ-เล่น-โลก













7.2.11

ง่ายงามในความธรรมดา

"ง่ายงามในความธรรมดา" เมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นคอร์สภาวนาพื้นฐานระยะสั้น ๒ วัน ที่ผมจัดกับเสมสิกขาลัยทุกปี

สามอาทิตย์ก่อนจัด มีผู้สมัครมาเพียง ๘ คน แต่พอวันจริง ไม่น่าเชื่อว่ามีผู้สนใจเข้าร่วมครบเต็มตามจำนวนคือ ๓๐ คน

ทุกครั้งที่จะสอนในคอร์สระยะสั้นแบบนี้ ผมมักมีความลังเล ด้วยความที่มีระยะเวลาจำกัดในการสื่อสารมิติของการภาวนา ที่แม้จะไม่ใช่เรื่องยาก จนทำความเข้าใจไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแดกด่วนที่หยิบยื่นให้กันราวกับของดีที่มีไว้แจก

การสอน การให้ความเข้าใจนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยากคือการสร้างพื้นที่ กระบวนการ การแลกเปลี่ยนพูดคุย และการปฏิบัติ ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนรู้สึกไว้วางใจ และเต็มที่กับการศิโรราบต่อตนเอง เพราะหากผู้ฝึกไม่เปิดตนเองแล้ว การภาวนาก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากไปกว่า กิจกรรมเสริมที่ทำให้ "รู้สึกดี" กันอย่างฉาบฉวย

สองวันที่ผ่านมา มีความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างการอบรม เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกราวกับว่าครูบาอาจารย์มานั่งอยู่ข้างๆ  ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่การฝึก ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้ล่วงหน้า คำสอนเปรียบเสมือนดาบสองคม ที่ตัดทั้งผู้สื่อสารและผู้รับการสื่อสาร ผมรู้สึกเหมือนนักเรียนคนหนึ่งไม่ต่างจากผู้เข้าร่วมทั้ง ๓๐ คนเลย ท้ายการอบรมผมรู้สึกเปราะบาง คิดอะไรไม่ออก และเปลือยเปล่าอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าหลายคนที่ผ่านการฝึกสองวันนี้คงรู้สึกไม่ต่างกัน และยังคงเป็นคำถามว่า เราจะสามารถอยู่กับภาวะนี้อย่างไรต่อไป อย่างไม่รีบลนลานหาอะไรมาปกปิดและทับถมมันอีกครั้ง