7.6.11

๑) ทบทวนทิศทางในวันล้ออายุ

งานร้อยคน ร้อยธรรม ร้อยห้าปีพุทธทาส
กับ วิจักขณ์ พานิช ณ สวนโมกข์กรุงเทพฯ
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔











(๑) ทบทวนทิศทางในวันล้ออายุ

พิธีกร งานวันนี้เป็นงานเสวนาเนื่องในวันล้ออายุท่านพุทธทาส และเป็นวาระครบ ๑๐๕ ปีของท่านอาจารย์ด้วย ประเด็นนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่คุณวิจักขณ์เองก็อยากจะชวนพวกเราพูดคุยนะคะว่าความสำคัญหรือว่าหัวใจหลักของการจัดงานล้ออายุในทัศนะของท่านอาจารย์พุทธทาสกับที่เข้าใจกันปัจจุบันมันมีความตรงกันหรือว่ามันมีความไม่ตรงกันในแง่มุมไหนบ้าง เชิญค่ะ

วิจักขณ์ คือเรื่องของการล้ออายุนะครับ คือผมมองว่าท่านอาจารย์เนี่ย ท่านเป็นคน “แรง” นะครับ เป็นคนที่อัตตาแรงคนนึงก็ว่าได้ แต่หลายๆอย่างเนี่ย ท่านสามารถรู้เท่าทันตัวเอง แล้วแปรเปลี่ยนความแรงของตัวตนนั้นไปในการรับใช้คนอื่น แล้วเข้าไปสัมพันธ์กับเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นในสังคมจริงๆ ท่านเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่งนะครับ ผมว่าแม้กระทั่งช่วงปลายชีวิตของท่าน ท่านก็ยังตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเล่น เล่นกับตัวตน เล่นกับอิมเมจ เล่นกับสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น เล่นกับสวนโมกข์ เล่นกับความสำเร็จของท่านทุกอย่าง ผมว่าจุดเริ่มต้นของการล้ออายุ มันคือการเล่นนะครับ คือเหมือนกับว่าเล่นกับตัวตน เล่นกับอายุ เล่นกับความเป็นตัวฉัน มันคือเรื่องของการที่เรากล้าท้าทายตัวเอง ทบทวนตัวเองเสมอในแต่ละปีที่อายุเราผ่านไป มันไม่ใช่เรื่องของการที่เราจะสะสมบุญบารมี สะสมสาวก สะสมความสำเร็จ แม้กระทั่งเรื่องของการเผยแพร่ศาสนาให้ยิ่งใหญ่ มากขึ้นไปเรื่อยๆ ตรงกันข้าม มันเป็นเรื่องของการปล่อยให้เป็นไปเองตามเหตุปัจจัย ผมมองว่าการได้ทบทวนตัวเองเรื่อยๆเนี่ยเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งทำงานใหญ่ ยิ่งทำในสิ่งที่เราบอกว่ามันมีคุณค่ากับผู้คน มันก็ยิ่งต้องทบทวนตัวเองให้เยอะขึ้นน่ะครับ แล้วผมมองว่าท่านอาจารย์มีการให้ค่ากับการมองและทบทวนตัวเองเยอะมาก กล้าที่จะให้คนอื่นเข้ามาท้าทาย หรือว่าพูดคุยแลกเปลี่ยน ธรรมะของท่านจึงมีพลวัต น่าเสียดายที่พอท่านอาจารย์มรณภาพไปเนี่ย เรามีแง่มุมตรงนี้น้อยมากเลย กลายเป็นว่าไม่มีใครกล้าเล่นกับท่านอาจารย์เลย ไม่มีใครกล้าแหย่ท่านอาจารย์อีกแล้ว มันน่าเสียดายนะครับ ผมรู้สึกว่าหลายๆอย่างมันต้องมีการทบทวน ทบทวนจากทิศทางที่เราเดินตามรอยท่านอาจารย์ ผมรู้สึกต้องมีการทบทวนอย่างหนัก แล้วก็วันล้ออายุแต่ละปี มันน่าจะมาคุยกันอย่างนี้ มันน่าจะมีการได้เปิดประเด็นการวิพากษ์ พูดคุยถกเถียง และมองตัวตนของท่านอาจารย์ในมุมต่างๆ กล้าที่จะมองน่ะครับ ท่านตายไปแล้ว ไม่ต้องกลัวท่านด่าหรอกครับ แต่ถ้าเราคิดถึงท่าน เราก็ล้อท่าน ชวนท่านสนทนาวิสาสะน่ะครับ

พิธีกร แล้วจะคุยกับท่านอย่างไรคะ ถ้าเกิดว่าตอนนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ท่านไม่อยู่ให้เราคุย
วิจักขณ์ ก็นี่แหละครับ แบบที่เรากำลังทำนี่แหละ เราคุยกับท่าน เราเสวนา เราล้อ เราเถียงกับท่าน
พิธีกร ค่ะ
วิจักขณ์ คุยอ่ะครับไม่ใช่อวย

พิธีกร คุณวิจักขณ์เคยบวชเรียนอยู่ที่สวนโมกข์ด้วย ตอนนั้นได้เรียนรู้อะไรจากสวนโมกข์บ้างคะ
วิจักขณ์ ผมได้เรียนรู้จากสวนโมกข์เยอะมากครับ สวนโมกข์เป็นห้องเรียนที่เราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเราเองจริงๆ ผมได้เรียนรู้เรื่องการปฏิบัติภาวนา การอยู่คนเดียว การอยู่กับความกลัว ส่วนงานของท่านอาจารย์ก็ได้มีเวลาทดลองมันจริงๆนะครับ ซึ่งผมพูดตรงๆว่างานของท่านอาจารย์เนี่ย จริงๆแล้วไม่ได้เข้าใจยาก ถ้ามีเวลากับมัน ก็ถือว่าไม่ได้ซับซ้อนอะไรนะครับ นอกจากได้ฝึกปฏิบัติแล้ว ผมก็ใช้เวลาอยู่ในห้องสมุด อา...อยู่ที่นั่นเนี่ยปรากฏว่า หนังสือที่ผมได้อ่านในห้องสมุด.. อันนี้ผมไม่ค่อยได้เล่านะ ที่จริงแล้วจุดเปลี่ยนที่สำคัญตอนอยู่สวนโมกข์ ก็คือผมได้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทย ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับ ๒๔๗๕ อ่ะครับ ซึ่งมันอยู่ในห้องสมุดสวนโมกข์เยอะมาก ไม่รู้มันไปอยู่ทำไม แต่ด้วยอะไรบางอย่าง...

พิธีกร หนังสือประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องสมุดค่ะ ไม่ค่อยอยู่ในห้องเรียน
วิจักขณ์ (หัวเราะ) นั่นก็ใช่ แต่มันอยู่ในห้องสมุดสวนโมกข์ไง
พิธีกร เออ ไปอยู่ในห้องสมุดสวนโมกข์
วิจักขณ์ ใช่ไหมครับ
พิธีกร ค่ะ

วิจักขณ์ ก็เลยคิดว่าจริงๆ ก็น่าจะเป็นหนังสือที่ท่านอาจารย์อ่านหรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมรู้สึกว่าการที่ผมได้ศึกษาประวัติศาสตร์สังคมไทย เรียนรู้เหตุการณ์ทางสังคมตั้งแต่ ๒๔๗๕ เป็นต้นมา กรณีสวรรคต ชีวิตอาจารย์ปรีดี อาจารย์ป๋วย งานเขียนของอาจารย์สุลักษณ์ ๑๔ ตุลา ๖ ตุลา มันทำให้ผมตาสว่างขึ้นมากเลยครับ และมันก็ทำให้มุมมองบางอย่างเกี่ยวกับการศึกษาธรรมะของผมติดดินมากขึ้น รู้สึกว่าเริ่มเอะใจกับอุดมการณ์กระแสหลักของธรรมะทั่วๆไปพอสมควร มันมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปที่อาจจะไม่ได้เป็นด้านสวยงามที่สังคมไทยพยายามจะแสดงอยู่ในตอนนี้ โอ.. ถ้าจะถามกันจริงๆ ผมรู้สึกว่า ช่วงนั้นล่ะครับที่เป็นจุดเปลี่ยน คือได้อ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ๒๔๗๕ ที่สวนโมกข์ ฟังดูคนละเรื่องเลยนะ (หัวเราะ)

พิธีกร อื้อ... น่าสนใจนะคะ เชื่อว่าหลายคนก็จะได้รับแรงบันดาลใจจากการไปอ่านหนังสือเรื่องประวัติศาสตร์ไทย ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งนะ เรารู้สึกเหลือเกินว่าแบบ... เอ๊ะทำไม ประวัติศาสตร์แบบนี้เนี่ย ไม่เคยถูกสอนในห้องเรียน

วิจักขณ์ ใช่ครับ ประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่ธรรมะมากๆ เป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องความทุกข์ของคน มีทั้งความเป็นธรรมะและความไม่เป็นธรรม เป็นเรื่องมุมมองที่หลากหลายของการมองชีวิต และการยอมรับความจริงที่ไม่ใช่มีด้านเดียว

พิธีกร ค่ะ แล้วตอนนั้นพออ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไป มันทำให้เรากลับมาตั้งคำถามต่อตัวเองที่มันหลากหลายมากขึ้นมั๊ยคะ

วิจักขณ์ ใช่ครับ มันทำให้เราเห็นน่ะครับว่า เฮ้ย... เราไม่แปลกจริงๆด้วย (หัวเราะ)...

พิธีกร (หัวเราะ) ......เพราะในอดีตมีคนแปลกยิ่งกว่าเรา
วิจักขณ์ ใช่ แปลกแยกยิ่งกว่าเราซะอีก แล้วเรารู้สึกว่า จริงๆ ด้วยนะ... ส่วนหนึ่ง สังคมไทยต่างหากที่มีปัญหา ไม่ใช่เรามีปัญหาน่ะครับ เราสามารถที่จะตั้งคำถามอะไรก็ได้ และเราก็สามารถที่จะเดิน และหาคำตอบได้ด้วยตัวเราเอง และเราก็รู้สึกว่า เออ..ทำเลย ทำเลยดีกว่า ไม่ต้องรอให้ใครมาapprove อะไรมากมาย คือมันปลดแอกอะไรเราเยอะเหมือนกัน ว่าอื้อ.. จริง ๆ แล้วปัญหาเนี่ย มันไม่ได้อยู่ที่เรามากขนาดนั้นนี่หว่า มันอยู่ที่สังคมที่เราอยู่เหมือนกันนะ

28.4.11

แนะนำทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ

ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ

Cutting Through Spiritual Materialism

เชอเกียม ตรุงปะ บรรยาย
วิจักขณ์ พานิช แปล

คำนิยม โดย เขมานันทะ
คำนำ โดย เรจินัลด์ เรย์

สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
พิมพ์ครั้งที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔

จำนวน ๒๘๘ หน้า
ราคา ๒๐๐ บาท

หนังสือธรรมะเรต “ห” ที่ขัดต่อศีลธรรมและความสงบสุขของอัตตาอย่างแท้จริง ท้าทายความเชื่อเรื่อง “ศาสนา” ที่เคยมีมา และเปลี่ยนมุมมองต่อคำว่า “ธรรมะ” ไปโดยสิ้นเชิง ฉีกขนบงานแปลทางศาสนา ด้วยสำนวนภาษาที่เป็นกันเอง ติดดิน ตรงไปตรงมา และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่านี่เป็นหนังสือธรรมะประเภทโฆษณาชวนเชื่อ ฮาวทู หรือเสริมสร้างสุข เลิกหวังไปเลยว่าจะเป็นหนังสืออ่านง่าย แฝงคติเตือนใจ หรือให้ข้อคิดคำคม หากจะจัดเรตติ้งให้หนังสือเล่มนี้ นี่คือหนังสือธรรมะเรต “ห” ที่ขัดต่อศีลธรรมและความสงบสุขของอัตตาอย่างแท้จริง เป็นธรรมะที่จะเปิดโปงทุกแง่มุมของการหลอกตัวเอง เปิดเผยกลไกการทำงานของอัตตา สติปัญญา และความเจ้าเล่ห์ของมันอย่างถึงรากและทะลุทะลวง จนอาจถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อโลกอันสงบสุขและศีลธรรมของคนดีมีธรรมะทั้งหลายเลยทีเดียว

ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้อาจรู้สึกราวกับโดนไม้ท่อนใหญ่ฟาดหัวเข้าอย่างจัง เพราะเนื้อหานำเสนอประเด็นท้าทายความเชื่อเรื่อง “ศาสนา” และเปลี่ยนมุมมองต่อคำว่า “ธรรมะ” ไปโดยสิ้นเชิง เช่น การปฏิบัติธรรมไม่ใช่หนทางสู่การพ้นทุกข์หรือสร้างสุข แต่คือการยอมรับและเผชิญทุกข์สุขตามที่เป็น ธรรมะไม่ใช่การตัดสินดีชั่ว ถูกผิด การกำจัดด้านมืดให้สิ้นซาก หรือการแบ่งแยกฝ่ายธรรมะจากฝ่ายอธรรม ไม่ใช่การพิพากษาว่าอัตตาเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ต้องกำจัด แต่ต้องรู้ทันและเข้าใจมันอย่างทะลุปรุโปร่ง จนอัตตาไม่อาจมีอำนาจเหนือความรู้แจ้งของเราได้ เส้นทางจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องของการพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดีมีศีลธรรม หรือหลีกหนีจากชีวิตแบบโลกย์ๆ แต่คือการเป็นตัวของตัวเอง ยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ภาคภูมิใจในความเป็นคน และตระหนักว่าศักยภาพแห่งการรู้แจ้งไม่ใช่สิ่งที่ต้องสร้างขึ้นใหม่ ทว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคนอยู่แล้ว

ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ นำเสนอเนื้อหาที่กระตุ้นเตือนชาวพุทธให้หันกลับมาตระหนักในเรื่อง “วัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ” อันหมายถึงการใช้หลักธรรมคำสอน เทคนิคปฏิบัติ และภาพลักษณ์สูงส่งทางจิตวิญญาณ เพียงเพื่อการหลอกตัวเอง การเสริมสร้างอัตตา หรืออัตลักษณ์ทางศาสนา ศีลธรรม ความดี บุญบารมี ปัญญาญาณ ขั้นการบรรลุธรรม ฯลฯ อย่างปราศจากการนำพุทธธรรมมาฝึกฝนปฏิบัติจริงในชีวิต

หนังสือเล่มนี้เป็นบทบรรยายธรรมชิ้นสำคัญที่สุดของ เชอเกียม ตรุงปะ ที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งพุทธธรรมในหัวใจคนหนุ่มรุ่นใหม่จากธิเบต สู่ผู้คนในโลกตะวันตกอย่างไม่ประนีประนอม พุทธศาสนาในโลกตะวันตกไม่ได้มีสถานะหรือต้นทุนทางสังคมใดๆ ให้ผู้ศรัทธาหยิบฉวยมาสร้างอัตลักษณ์ทางศาสนา อีกทั้งคนส่วนใหญ่ยังรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับข้อบังคับ กฎเกณฑ์ และความรู้สึกผิดบาปจากศาสนาที่พวกเขาเคยยึดถือมาหลายชั่วคนอีกด้วย ดังนั้นก่อนเข้าสู่เส้นทางพุทธศาสนา ผู้คนเหล่านี้จึงต้องการแผนที่ที่สามารถบอกถึงหัวใจและรายละเอียดของเส้นทางทั้งหมดด้วยความเปิดเผยตรงไปตรงมา และหนังสือเล่มนี้ได้แสดงแผนที่นั้นไว้อย่างครบถ้วน

แม้ Cutting Through Spiritual Materialism จะเป็นหนังสือสำคัญทางพุทธศาสนาสายวัชรยานในโลกตะวันตก และเป็นคำสอนแรกที่ เชอเกียม ตรุงปะ ถ่ายทอดในทวีปอเมริกาเหนือ ช่วงปี ค.ศ. ๑๙๗๐ และ ๑๙๗๑ แต่กล่าวได้ว่านี่เป็นหนังสือที่ “ไร้กาลเวลา” เพราะแม้จะผ่านมาถึง ๔๐ ปีแล้ว ทว่าแก่นพุทธศาสนาวัชรยานที่ได้รับการถ่ายทอดอยู่ในหนังสือเล่มนี้ยังคงสื่อสารได้กับผู้คนทุกยุคทุกสมัยและทุกวัฒนธรรม รวมทั้งสังคมไทยยุคปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก

บริบทของหนังสือเล่มนี้มีความคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ นั่นคือคำสอนทางศาสนามักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมสิ่งที่เข้ามาก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง (ซึ่งมักถูกมองในฐานะสิ่งคุกคาม) เราจะรู้เท่าทันอำนาจการบิดเบือนคำสอนทางศาสนาของอัตตาได้อย่างไร? คำสอนทางจิตวิญญาณควรถูกนำมาใช้ในการตั้งคำถามกับความเป็นไปของสังคมและตัวเราเองอย่างไร? การแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของคนรุ่นใหม่ควรเป็นไปในทิศทางใดจึงจะสอดคล้องกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต? เหล่านี้เป็นคำถามที่มีอยู่ในหัวใจของผู้แสวงหาสัจจะทุกยุคทุกสมัย

ในแง่สำนวนการแปล วิจักขณ์ พานิช ฉีกขนบงานแปลทางศาสนา ด้วยการใช้สำนวนภาษาที่เป็นกันเอง ติดดิน ตรงไปตรงมา และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาใช้ประสบการณ์จากการฝึกฝนอยู่ในสายปฏิบัติของ เชอเกียม ตรุงปะ ถ่ายทอดหัวใจสำคัญของการสื่อสารธรรมะที่ไปพ้นถ้อยคำ มีสไตล์การใช้ภาษาที่เต็มไปด้วยลูกเล่น สำนวน อุปมาอุปไมย คำประดิษฐ์ สแลง มุขตลก ยึดหลักการถ่ายทอดคำสอนปากเปล่า คือการใช้ภาษาพูด บทสนทนาโต้ตอบที่ไม่เป็นทางการ และมีความเป็นเสรีนิยมตามบริบทการสื่อสารธรรมะสู่คนหนุ่มสาวอเมริกันยุค ๗๐ ด้วยเหตุที่ว่า นั่นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้งานชิ้นนี้มีความน่าสนใจและสามารถสื่อสารได้เหมาะสมกับบริบทที่พุทธศาสนาไทยในโลกสมัยใหม่กำลังเผชิญอยู่

นานาทัศนะต่อ "ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ"
http://www.facebook.com/note.php?saved&preview¬e_id=10150168987571173&id=102073626174

เนื้อหาบางส่วนจาก "ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ"
http://www.facebook.com/note.php?saved&preview¬e_id=10150168994936173&id=102073626174

4.4.11

to the Glorious Father

The vast ocean,

There’s no path.

But you encourage me to go anyway.

“One stepping stone at a time”, you said.

"The rest, you’ve got to leap."

...

This is too hard...

There's no way to go...

I heard giggles, "and so?”

“Are you willing to be used as the path for the rest, my son?”


4 Apr 2011



10.3.11

ทะลวงแล้ววันนี้

บ้านตีโลปะเชิญชวนซื้อหนังสือเต็มราคาปก เพื่อสนับสนุนการควักเนื้อแปลงานคุณภาพ
สั่งซื้อโดยตรงได้ที่ shambhala04@gmail.com


22.2.11

สารของวิมลเกียรติ

"รูปไม่ได้ว่างเปล่าเพราะความว่าง ความว่างไม่ได้แยกขาดจากรูป รูปในตัวของมันเอง คือ ความว่าง ความว่างในตัวของมันเอง คือ รูป"

คำกล่าวนี้พบได้โดยทั่วไปในคัมภีร์มหายาน แสดงถึงหัวใจของคำสอนทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา/ มาธยมรรค) และเป็นข้อความพื้นฐานของพระสูตรวิมลเกียรติ

"รูป" แสดงถึงโลกที่คุ้นชิน โลกสัมพัทธ์ โลกสมมติจากการปรุงแต่งเชิงหลักการ ส่วน "ความว่าง" แสดงถึงเป้าหมายแห่งความโหยหาทางจิตวิญญาณ สัจธรรม ธรรมชาติจริงแท้ หรือการไปพ้น สภาวธรรมอันเป็นอนันตการ และไร้การเกิดตาย

ทว่าหากทั้งสองเป็นสิ่งเดียวกัน อะไรเล่าคือเป้าหมายของพุทธศาสนา? และพุทธปรัชญาจะมีไว้เพื่ออะไร?  ความเพียรในการปฏิบัติยังเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่?  แล้วทั้งหมดจะไม่นำไปสู่ความว่างเปล่าของความเชื่อแบบตายแล้วสูญล่ะหรือ?

มีนักปรัชญามากมายที่หลงเข้าใจผิดว่าทางสายกลาง แบบที่สอนโดยวิมลเกียรติ นาคารชุน หรือพระพุทธะมหายาน ว่าเป็นคำสอนที่นำไปสู่การหมดสิ้นซึ่งคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าทางโลกหรือทางธรรม

19.2.11

ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์


คลิปย้อนหลัง งานนิเวศภาวนา "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ของเสมสิกขาลัย ที่ทำกับอาจารย์ประมวลเมื่อกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว งานนี้เกือบตายเพราะพิษไข้เลือดออกสายพันธุ์ตลิ่งชัน ดูหลักฐานได้ในคลิป


9.2.11

ล้อ-เล่น-โลก

ถ่ายรายการล้อ-เล่น-โลก













7.2.11

ง่ายงามในความธรรมดา

"ง่ายงามในความธรรมดา" เมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นคอร์สภาวนาพื้นฐานระยะสั้น ๒ วัน ที่ผมจัดกับเสมสิกขาลัยทุกปี

สามอาทิตย์ก่อนจัด มีผู้สมัครมาเพียง ๘ คน แต่พอวันจริง ไม่น่าเชื่อว่ามีผู้สนใจเข้าร่วมครบเต็มตามจำนวนคือ ๓๐ คน

ทุกครั้งที่จะสอนในคอร์สระยะสั้นแบบนี้ ผมมักมีความลังเล ด้วยความที่มีระยะเวลาจำกัดในการสื่อสารมิติของการภาวนา ที่แม้จะไม่ใช่เรื่องยาก จนทำความเข้าใจไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแดกด่วนที่หยิบยื่นให้กันราวกับของดีที่มีไว้แจก

การสอน การให้ความเข้าใจนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยากคือการสร้างพื้นที่ กระบวนการ การแลกเปลี่ยนพูดคุย และการปฏิบัติ ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนรู้สึกไว้วางใจ และเต็มที่กับการศิโรราบต่อตนเอง เพราะหากผู้ฝึกไม่เปิดตนเองแล้ว การภาวนาก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากไปกว่า กิจกรรมเสริมที่ทำให้ "รู้สึกดี" กันอย่างฉาบฉวย

สองวันที่ผ่านมา มีความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างการอบรม เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกราวกับว่าครูบาอาจารย์มานั่งอยู่ข้างๆ  ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่การฝึก ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้ล่วงหน้า คำสอนเปรียบเสมือนดาบสองคม ที่ตัดทั้งผู้สื่อสารและผู้รับการสื่อสาร ผมรู้สึกเหมือนนักเรียนคนหนึ่งไม่ต่างจากผู้เข้าร่วมทั้ง ๓๐ คนเลย ท้ายการอบรมผมรู้สึกเปราะบาง คิดอะไรไม่ออก และเปลือยเปล่าอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าหลายคนที่ผ่านการฝึกสองวันนี้คงรู้สึกไม่ต่างกัน และยังคงเป็นคำถามว่า เราจะสามารถอยู่กับภาวะนี้อย่างไรต่อไป อย่างไม่รีบลนลานหาอะไรมาปกปิดและทับถมมันอีกครั้ง


28.1.11

พวกเป็นกลาง (Centrist)

ในสถานการณ์ทางสังคมและการเมือง มีการจำแนกคนออกตามอุดมการณ์หลักๆ เช่น พวกฝ่ายซ้าย, พวกฝ่ายขวา ฯลฯ และแน่นอนว่าทุกครั้ง เราจะได้ยินคนที่อ้างว่าตน "เป็นกลาง"

คำว่า "เป็นกลาง"  เป็นคำที่มักใช้อ้างถึงอุดมการณ์ของชาวพุทธผู้ฝึกตนบนมัชฌิมาปฏิปทา (เถรวาท) รวมถึงมาธยมิกชน (มหายาน) ซึ่งก็น่าสนใจว่า อุดมการณ์ของพวกเป็นกลาง(Centrist) โดยนัยของมัชฌิมาปฏิปทา และมาธยมิกนั้น มีความหมายอย่างไรได้บ้าง


27.1.11

ที่ว่ากลาง นั้นกลางตรงไหน?

คำสอนเรื่องทางสายกลาง หรือ ใจที่เป็นกลาง ตามหลักมัชฌิมาปฏิปทาที่เราคุ้นเคย มักพูดถึงโลกทัศน์ที่แบ่งเป็นสอง สองข้าง สองขั้ว ยิ่งโดยเฉพาะข้อศีลและข้อธรรมที่ถูกกำหนดไว้ตายตัว ยิ่งทำให้ง่ายต่อการเข้าใจว่า ทางสายกลางคือเส้นทางแคบๆ ที่หากประมาท ขาดสติสัมปชัญญะย่อมหลุดออกจากทางนั้นไม่ซ้ายก็ขวาได้โดยง่าย และการช่วยเหลือผู้อื่น คือ การดึงให้ผู้คนเข้ามาเดินอยู่บนทางที่ถูกต้องสายนั้นให้มากที่สุด นั่นคือ ทางสายกลางโดยนัยของทางแคบ

ทว่าทางสายกลาง ตามแนวทางของมาธยมิก ให้อรรถาธิบายโดยนัยของทางกว้่าง

"หากมณฑลของใจ กว้างใหญ่ดั่งท้องฟ้า สุกสว่างดั่งแสงอาทิตย์แล้วไซร้
จุดศูนย์กลางของใจนั้น ตั้งอยู่ที่ใด?"

what is Madyamaka? อะไรคือมาธยมิก
it is the center of the sunlit sky จุดกลางของฟ้ากว้างสว่างจ้า


...ซึ่งหมายความว่า "เป็นกลางได้ในทุกที่"